วันอังคารที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2556

สวัสดีปีใหม่ 2557

ศึกษาคำสอนของ กฤษณมูรติ
 ส่งความสุขด้วยนิทรรศการของ มูลนิธิ อันวีกษณา
เพื่อความเข้าใจโลกและส่งมอบความรัก แด่มนุษยชาติ ที่แสวงหาทุกท่าน 
เพื่อปี 2557 ที่มาถึงจะได้สร้างความเข้าใจในชีวิต

วันพฤหัสบดีที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2556

RE: ถ้อยความแห่งรักใคร่

สวัสดีครับอาจารย์
           ได้อ่าน ความดีและความชั่ว : เรียนรู้ที่จะมีชีวิตด้วยบัญญัติของตัวเอง
แล้ว ก็มีความเห็นส่วนตัวว่า เริ่มต้นมาจากบทแรกแห่งบทความนี้เลยคือ "ทุกศาสนาได้บัญญัติข้อปฏิบัติทางศาสนาขึ้นมาเอง ซึ่งเป็นข้อปฏิบัติแปลกปละหลาดและไม่เป็นธรรมชาติ ซึ่งมาจากความกลัวและความโลภ แต่ศาสนาเหล่านั้นกลับทำให้มีมนุษยชาติผู้น่าสงสาร ซึ่งท่านจะพบเห็นได้ทั่วทุกมุมโลก
แม้นแต่คนที่ร่ำรวยที่สุดก็ยังน่าสงสารเพราะเขาไม่มีอิสระที่จะทำตามจิตสำนึกของเขา เขาต้องทำตามข้อปฏิบัติที่มาจากใครบางคน และไม่มีใครรู้ว่าคนคนนั้นเป็นแค่คนโกหกและฉ้อฉล หรือว่าเป็นแค่นักกวีและคนช่้างฝัน มันไม่มีหลักฐาน เพราะมีหลายคนกล่าวอ้างว่าพวกเขาเป็นพระเจ้าจุติลงมาเกิด เป็นผู้นำสารมาจากพระเจ้า และเป็นผู้เผยแพร่พระวจนะของพระเจ้า แต่พวกเขาล้วนนำสารที่แตกต่างกันมา หากไม่เป็นเพราะพระเจ้าทรงเพี้ยน คนเหล่านี้ก็โกหกและเป็นไปได้มากที่พวกเขาจะโกหก"
นั่นคือ บัญญัติไว้แล้ว ก็ปฏิบัติสืบต่อๆ กันมานั่นเอง เช่น ทำไมเรียกดวงอาทิตย์ ผมจะเรียกดวงจันทร์ไม่ได้หรือ ตอบ ไม่ได้ มันผิด เพราะเขาเรียกว่าดวงอาทิตย์ มานานแล้ว ซึ่งในช่วงสุดท้ายก็จะเป็นจริงอีกที่ว่า
"มันไม่ใช่เรื่องที่ว่าอะไรถูกหรือผิด เพราะอะไรที่ถูกในวันนี้อาจจะผิดในวันรุ่งขึ้นก็ได้"
จึงเป็นเรื่องของการมีจิตสำนึกนะครับ ว่า อะไร คือ อะไร แล้วจะถือปฏิบัติอย่างไร เพราะตามที่อาจารย์เขียนมาคือ "ความจริงและไม่จริง ไม่มีในโลก"
ได้แง่คิดและความรู้ต้อนรับปีใหม่ ดีมากเลยครับ ขอบคุณมากครับ มีความสุขในปีใหม่และสุขภาพแข็งแรง เพื่อเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ไปอีกนานเท่านานนะครับ
ด้วยความนับถือ
ยุทธนา


Date: Fri, 27 Dec 2013 00:13:35 +0700
Subject: Re: ถ้อยความแห่งรักใคร่
From: rarearntoo@gmail.com
To: yud5942@hotmail.com
CC: anuruk.s@egat.co.th; pongbenja@gmail.com; boonyanit.w@egat.co.th; 576476@egat.co.th; chana.u@egat.co.th; hattaya.ti@egat.co.th; hydro.cen11.yudthana@blogger.com; jirachai.js@gmail.com; jirachai.s@egat.co.th; jitdee.p@egat.co.th; jitdee.pra@gmail.com; iamsinger2012@gmail.com; kamonrat.c@egat.co.th; kanya.s@egat.co.th; kitti.t@egat.co.th; 359815@egat.co.th; nattida.s@egat.co.th; torn448.ltd@gmail.com; nintira.t@egat.co.th; 074004@egat.co.th; nisakorn.p@egat.co.th; 445878@egat.co.th; ormrak.w@egat.co.th; pairush.s@egat.co.th; 301604@egat.co.th; pisit.ka@egat.co.th; 123633@egat.co.th; 447579@egat.co.th; sakun.p@egat.co.th; sirirat.m@egat.co.th; soontorn.a@egat.co.th; 229652@egat.co.th; 590066@egat.co.th; thamnoon.k@egat.co.th; 063363@egat.co.th; thanarat.b@egat.co.th; udomphon.s@egat.co.th; viboon.p@egat.co.th; wasana.b@egat.co.th; yaktuktee.rarearng@blogger.com; phatthararudee.r@egat.co.th; jakrapong.g@egat.co.th; nopsakol81@gmail.com; pisit.ka@gmail.com; songyost.j@egat.co.th; thepvithak.k@egat.co.th; 950247@egat.co.th; 270709@egat.co.th; burin.l@egat.co.th; prapun.s@egat.co.th; phunvadee.u@egat.co.th; patcharee.j@egat.co.th; rungsit.k@egat.co.th; sirawat.m@egat.co.th; sutin.cho@egat.co.th; nuie123@yahoo.com.au

คำถามพี่ยุทธนา
ผมไม่มีด้านใด ผมไม่เอาด้านใด เพราะไม่ว่ากี่ด้านต่อกี่ด้าน เลวหมด
คำพูดแบบนี้ มีไหม ใช้ได้ไหม เป็นจริงไหม คือ ทุกสิ่งในโลกใบนี้เลวหมด ฉันดีคนเดียว (รึเปล่า)
ตอบพี่ยุทธนา
แยกแยะดังนี้นะครับ
ผมไม่มีด้านใด ผมไม่เอาด้านใด เพราะไม่ว่ากี่ด้านต่อกี่ด้าน เลวหมด
อันนี้เป็นทัศนะที่นำมาเป็นตัวโจทย์
คำพูดแบบนี้ มีไหม ใช้ได้ไหม เป็นจริงไหม
อันนี้เป็นคำถาม แยกเป็นสามตอน คือ ทัศนะนี้ มีไหม 1 ตามด้วย ใช้ได้ไหม 2 ต่อด้วย เป็นจริงไหม 3
คือ ทุกสิ่งในโลกใบนี้เลวหมด ฉันดีคนเดียว (รึเปล่า)
อันนี้อธิบาย คำถามแบบรวบยอด ด้วยการตัดสินทุกสิ่งในโลกใบนี้ และถามว่า ฉันดีคนเดียวหรือไม่
ตีความทัศนะสักนิดนะครับ
ไม่มีด้านใด ไม่เอาด้านใด ไม่ว่ากี่ด้านต่อกี่ด้าน เลวหมด ผมถามกลับว่า แล้วทัศนะของพี่มองจากด้านที่ไม่อยู่ในด้านใด ไม่อยู่ในกี่ด้านต่อกี่ด้าน มันก็ต้องมีที่หยัดยืน มีด้านที่ต่างออกไปจากที่พี่กล่าวมานั้นนะครับ ที่ต่างออกไปนั้นมีการแบ่งแยกอยู่ในนั้น และมีการตัดสิน จากการตัดสินนั่นเองแสดงว่ามีการวัด และมีมาตรแห่งความดีเลวอยู่ในนั้น คือ มันมีเกณฑ์อยู่ในความคิดนั้นครับ นั่นหมายความว่า ในความเลว(ที่ตัดสินไป)ก็มีความดีอยู่(ในเกณฑ์ทีกำหนดไว้แล้ว)มันอยู่ด้วยกันในใจของผู้ตัดสินนั้น
ต่อไปเป็นทัศนะของผม ซึ่งอาจไม่ใช่คำตอบนะครับ
คำพูดหรือถ้อยคำนั้น
เป็นสิ่งที่มนุษย์ใช้สร้างขึ้นเพื่อสื่อสาร สื่อสารกับตนเองและผู้อื่น สื่อสารกับตนเองด้วยการคิด ส่วนใหญ่เราคิดด้วยถ้อยคำ ถ้อยคำที่ถูกสร้างขึ้นมาจากประสบการณ์และการดำรงชีวิตของเรา "ทุกสิ่งที่ออกจากปากล้วนออกจากใจ"
ทีนี้เมื่อถ้อยคำนั้นถูกสร้างขึ้น
ผมไม่มีด้านใด ผมไม่เอาด้านใด เพราะไม่ว่ากี่ด้านต่อกี่ด้าน เลวหมด
มันจึงมีอยู่ มันใช้ได้สำหรับการสื่อสารกับตัวเองและผู้อื่น บ่งบอกความคิดของผู้สื่อความนั้น และมันเป็นจริงในความรู้สึกสำหรับผู้สื่อสารผู้ส่งความนั้น และมันเป็นจริงในความรู้สึกสำหรับผู้เห็นด้วยหรือมีทัศนะเช่นเดียวกัน แต่มันอาจไม่เป็นจริงในความรู้สึกสำหรับผู้มีทัศนะตรงกันข้าม และมันอาจไม่สร้างความรู้สึกเป็นจริงหรือไม่เป็นจริงในผู้ไร้ทัศนะต่อถ้อยความนั้น
ด้วยทัศนะของผม ความจริงและไม่จริง ไม่มีในโลก มีแต่ความรู้สึกที่ว่าจริงหรือไม่จริงเท่านั้นซึ่งเป็นไปตามที่มนุษย์ให้ คุณค่า ตีราคา ให้ความหมาย แล้วเข้าไปยึดถือนะครับ ดังนี้ การยึดถือจึงเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดสิ่งต่างๆ ขึ้นมา ทั้งคุณค่า ราคา และความหมาย มีได้ด้วยการยึดถือครับ การยึดถือนั้นแหละสร้างเกณฑ์ มาตรวัดและตามมาด้วยการตัดสิน
ทุกสิ่งในโลกใบนี้เลวหมด ฉันดีคนเดียว (รึเปล่า)
สังเกตให้ดีนะครับ ประโยคมีคำตอบในตัวเอง ด้วย
ฉัน เป็นส่วนหนึ่งของ ทุกสิ่งในโลกใบนี้ ดังนั้น ฉันดีคนเดียวหรือไม่ คำตอบคือ ไม่ ถ้าไม่เป็นอย่างนั้นถ้อยคำนี้ก็ขัดแย้งในตัวเอง
ดี เลว มนุษย์ให้ คุณค่า ราคา และความหมายด้วยการยึดถือครับ
ผมนั้นรับฟังทุกด้านครับ บางครั้งผมมองอีกด้านด้วยทัศนะที่อยากจะมองให้รอบ จึงสร้างความรู้สึกไม่เห็นด้วยให้กับคู่สนทนา และคู่สนทนามักตัดสินผมว่าเป็นคนละพวกกับเขา ผมจึงต้องเปลี่ยนท่าทีในการแสดงทัศนะ บางครั้งก็นิ่งเสีย ตามสุภาษิตไทยเดิมนั่นแหละครับ
อยากยกกลอนของท่านพุทธทาส สักบทครับเกี่ยวกับดีเลวครับ
เขามีส่วนเลวบ้างช่างหัวเขา จงเลือกเอาสิ่งดีเขามีอยู่
เป็นประโยชน์โลกบ้างยังน่าดู ส่วนที่ชั่วอย่าไปรู้ของเขาเลย
ตามประสาผมนะครับ สิ่งดี ที่่ท่านว่านั้น คือ เป็นประโยชน์โลก ครับ สิ่งที่โลกนี้สร้างขึ้นมามีประโยชน์และจำเป็นต่อโลกทั้งนั้นครับ ไม่ว่าสิ่งที่เรียกว่าดี หรือ เลว ตามที่ มโนธรรม ยึดถือ
ผมมีงานที่คัดลอกมาจาก โอโช และ คาลิล ยิบรานให้พี่ลองอ่านและให้ความเห็นแลกเปลี่ยนกัน เกียวกับเรื่องที่เราแลกเปลี่ยนกันนี่แหละครับ
ตุ๊ดตู่ ร่าเริง

หมายเหตุ ผมต้องขออภัยที่ใช้ Reply to All ด้วยเห็นว่าเป็นการแสดงทัศนะในเรื่องเดียวกัน ขออภัยอีกครั้งหากท่านไม่ต้องการรับ Email ทำนองนี้อีกโปรดแจ้งกลับที่ rarearntoo@gmail.com จักเป็นพระคุณยิ่ง




2013/12/26 ยุทธนา จุฑารัตน์ <yud5942@hotmail.com>
สวัสดีครับอาจารย์
         ได้อ่านสิ่งดีๆ ก็อดที่จะขออนุญาตแลกเปลี่ยนไม่ได้นะครับ
ผมได้คุยกับเพื่อนบ้านซึ่งเขาเป็นชาวบ้านธรรมดา แต่พอได้คุยกัน ผมรู้สึกว่าเขาไม่ธรรมดา แต่มีความรู้ มีความคิด ที่สูงทีเดียว คือ มันตรงกับข้อความที่อาจารย์พูดว่า "ผมแสดงทัศนะเสมอว่า ในสิ่งที่ดีก็มีสิ่งไม่ดีอยู่ ในสิ่งไม่ดีก็มีสิ่งที่ดีอยู่" ครับ...คือ 
แกพูดว่า "คุณรู้มั้ย ความดี กับ ความเลว มันเป็นฝาแฝดกัน และเป็นแฝดที่แยกไม่ออกด้วย คนแฝด ยังดูรู้ว่าคนไหน แต่ ความดี กับ ความเลว มันไม่มีตำหนิให้จดจำ คนที่นำแฝดเลว มาใช้ แล้วบอกว่า มันดี มันก็จะดีในคนคนนั้น แต่ทั้งๆที่ จริงๆ มันเลว เช่น กินเหล้า-สูบบุหรี่ ไม่ดี (อันนี้คงจะแล้วแต่ ใครว่าดีหรือไม่ดี..ยุทธนา) คนกินเหล้า-สูบบุหรี่ แล้วบอกว่าเป็นสิ่งดี มีมาด มีบุคลิก มีฐานะ มันก็จะดีในคนคนนั้น คนไปทำงานเช้าก่อนเวลาทุกวัน เป็นสิ่งดี (ในสายตา ความรู้สึก ประเพณีปฏิบัติ....ยุทธนา) แต่คนอื่นๆ บอกว่าไม่ดี มันก็จะเป็นสิ่งไม่ดีสำหรับคนนั้นๆ สรุปว่า การเอาแฝดใดมาใช้ มันมีสิทธิที่จะเป็นอีกแฝดหนึ่ง ได้เสมอ เพราะอยู่ที่คนใช้ ไม่ได้อยู่ที่ไอ้แฝด
ครับอาจารย์.. พอได้อ่านก็เลยนึกถึงที่เล่ามานี้ว่า ดี ไม่ดี ไม่ได้อยู่ไหน ไม่ได้แยกจากกัน มันอยู่ด้วยกันสุดแต่จะมอง...จะทำ...จะหาว่า...จะอะไรๆ....อาทิ ข้อเขียนของอาจารย์นี้ ผมว่า ดี ยังไง มันก็ดีสำหรับผม ใช่ไหมครับ แต่คนอื่นกลับมองว่าไม่ดีบ้างหละ มันก็ไม่ดีสำหรับเขา นะครับ ดังนั้น เหตุการณ์บ้านเมืองก็เช่นกัน เป็นฝ่ายโน้น ฝ่ายนี้ พอเปิดโทรทัศน์ช่องนี้ ก็บอกฉันดี มันไม่ดี กลับไปเปิดโทรทัศน์ช่องโน้น ก็บอกมันไม่ดี ฉันดี แล้วจะให้เข้าใจว่า ใครดี ใครเลว ดังนั้น อีกคำพูดหนึ่งของอาจารย์ที่ว่า
"สิ่งคู่กันนี้ดำรงอยู่ด้วยกันเสมอมาเป็นพื้นฐาน และความจริงที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ เหมือนหน้ามือและหลังมือมาพร้อมกันแล้วแต่เราจะดูด้านใด แต่มันเชื่อมโยงกันด้วยสิ่งที่สัมผัสได้คือความรักใคร่ ความรักใคร่ที่ขับเน้นให้เราเป็นไป" นั่นก็คือ แล้วแต่เราจะดูด้านใด นั่นเอง ก็คือ อยู่ที่เรา

ทีนี้ ผมก็มีำคำถามครับอาจารย์ ว่า
ผมไม่มีด้านใด ผมไม่เอาด้านใด เพราะไม่ว่ากี่ด้านต่อกี่ด้าน เลวหมด
คำพูดแบบนี้ มีไหม ใช้ได้ไหม เป็นจริงไหม คือ ทุกสิ่งในโลกใบนี้เลวหมด ฉันดีคนเดียว (รึเปล่า)

ขอบคุณในสิ่งดีๆ ต้อนรับปีใหม่ครับอาจารย์
ศุภฤกษ์ เบิกดิถี วันปีใหม่
พระพรชัย สิงศักดิ์สิทธิ์ ประสิทธิ์ผล
ผลานุภาพ เทพไท้ ให้ช่วยดล
สิริมงคล แด่คุณศิริวัฒน์ นิรันดร์เทอญ
ด้วยความนับถือ
ยุทธนา
ขออภัยทุกท่านที่ตอบเมล์กลับมา อาจไม่ถูกใจ โปรดอภัย ขอบคุณครับ

Date: Wed, 25 Dec 2013 22:44:38 +0700

Subject: ถ้อยความแห่งรักใคร่
From: rarearntoo@gmail.com
To: anuruk.s@egat.co.th; pongbenja@gmail.com; boonyanit.w@egat.co.th; 576476@egat.co.th; chana.u@egat.co.th; hattaya.ti@egat.co.th; hydro.cen11.yudthana@blogger.com; jirachai.js@gmail.com; jirachai.s@egat.co.th; jitdee.p@egat.co.th; jitdee.pra@gmail.com; iamsinger2012@gmail.com; kamonrat.c@egat.co.th; kanya.s@egat.co.th; kitti.t@egat.co.th; 359815@egat.co.th; Nattida.S@egat.co.th; torn448.ltd@gmail.com; nintira.t@egat.co.th; 074004@egat.co.th; nisakorn.p@egat.co.th; 445878@egat.co.th; ormrak.w@egat.co.th; pairush.s@egat.co.th; 301604@egat.co.th; pisit.ka@egat.co.th; 123633@egat.co.th; 447579@egat.co.th; sakun.p@egat.co.th; sirirat.m@egat.co.th; soontorn.a@egat.co.th; 229652@egat.co.th; 590066@egat.co.th; thamnoon.k@egat.co.th; 063363@egat.co.th; thanarat.b@egat.co.th; Udomphon.S@egat.co.th; viboon.p@egat.co.th; wasana.b@egat.co.th; yaktuktee.rarearng@blogger.com; phatthararudee.r@egat.co.th; jakrapong.g@egat.co.th; nopsakol81@gmail.com; pisit.ka@gmail.com; songyost.j@egat.co.th; Thepvithak.K@egat.co.th; 950247@egat.co.th; 270709@egat.co.th; burin.l@egat.co.th; prapun.s@egat.co.th; phunvadee.u@egat.co.th; patcharee.j@egat.co.th; yud5942@hotmail.com; rungsit.k@egat.co.th; Sirawat.M@egat.co.th; sutin.cho@egat.co.th; nuie123@yahoo.com.au


ผมใช้เวลาติดตามและสังเกตความเป็นไปในปัจจุบันของสังคมไทย สังคมที่มีการแปลกแยก ช่วงชิง แข่งขัน กระทบกระทั่งกันตลอดเวลา คลื่นแห่งความขัดแย้ง ความชิงชัง ถ้อยคำชักจูง (การแสดงหลักฐานเป็นการชักจูง การทำให้น่าเชื่อถือเป็นการชักจูง การกระตุ้นกิเลสในตัวมนุษย์ ให้รัก ชอบ โกรธ เกลียด แค้น และอื่นๆ เป็นการชักจูงเช่นกัน)
ความคิดของผู้คนเป็นอย่างไรหนอ ระหว่างติดตามและสังเกต ผมก็พยายามทำความเข้าใจไปพร้อมกัน ตลอดเวลาที่ผมแลกเปลี่ยนกับมนุษย์ด้วยกันนั้น ผมเชื่อมั่นเสมอในความเป็นมนุษย์ของแต่ละปัจจเจกบุคคลที่ไม่เหมือนกัน ผมแสดงทัศนะเสมอว่า ในสิ่งที่ดีก็มีสิ่งไม่ดีอยู่ ในสิ่งไม่ดีก็มีสิ่งที่ดีอยู่ มีคนถามผมว่ามันจะอยู่ด้วยกันได้อย่างไร ผมมักยกตัวอย่างความปรารถนาดีระหว่างมารดาและบุตร มารดาปรารถนาดีและตามใจบุตรเสมอมาในขณะเดียวกันก็บ่มเพาะความไม่พึงปรารถนาบางอย่างให้กับบุตรได้ หรือความปรารถนาดีของบุตรที่ขโมยอาหารและยามาให้มารดา สิ่งคู่กันนี้ดำรงอยู่ด้วยกันเสมอมาเป็นพื้นฐาน และความจริงที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ เหมือนหน้ามือและหลังมือมาพร้อมกันแล้วแต่เราจะดูด้านใด แต่มันเชื่อมโยงกันด้วยสิ่งที่สัมผัสได้คือความรักใคร่ ความรักใคร่ที่ขับเน้นให้เราเป็นไป
ในถ้อยคำแห่งความเกลียดชัง นั้นก็มีความรักใคร่แฝงอยู่เช่นกัน เกลียดสิ่งหนึ่งเพราะรักอีกสิ่งหนึ่ง เรามักแยกมันไม่ออกมองมันไม่เห็น หากยังไม่ได้ผลตามที่เราต้องการเรามักแสดงมากขึ้น มีกิจกรรมหนึ่งที่เราใช้ในการแสดงให้เห็นการไม่ยอมรับของสังคม เราใช้ในกลุ่มใหญ่ที่มีคนประมาณ 20 คนขึ้นไป เราให้มีอาสาสมัครสักสามคน ออกไปนอกห้องแล้วมีกติกาว่าเขาต้องแสดงโดยไม่พูดให้คนอื่นทายว่าเขาแสดงเป็นอะไร เรามักใช้สัตว์สามชนิด เช่น งู ช้าง เสือ เป็นต้น แต่ผู้จัดจะรู้ว่าคนที่เข้ามาจะแสดงเป็นอะไร และจะบอกผู้อยู่ในห้องว่าห้ามทายเป็นสัตว์ชนิดนั้น คนแรกเป็นงู เราให้ทายได้ทุกอย่างยกเว้น งู เมื่อผู้แสดงเข้ามาแสดงให้ทาย เขาจะแสดงเริ่มจากคิดว่าเอาละคนต้องรู้แน่ว่าเป็นงู ชูมือ แผ่แม่เบี้ย และเมื่อยังไม่มีคนทายถูกก็จะเพิ่มความพยายามมากขึันไปอีก บางคนลงทุนเลื้อยไปกับพื้น และท้ายที่สุดเมื่อไม่มีใครทายถูกเขาก็หมดแรงและยอมแพ้ เราให้ผู้แสดงคนแรกนั่งดูในห้องและห้ามพูด คนที่สองเข้ามาและอาการก็เป็นอย่างเดียวกัน ผม(ผู้จัด)สังเกตเห็นเขาเริ่มเข้าใจบางอย่างและบางคนที่มีเมตตามากจะน้ำตาใหลสงสารเพื่อนคนที่สองถึงกับหันหลังไม่อยากดู เหตุการณ์เป็นเช่นนี้จนครบสามคน สิ่งแรกที่ทำเมื่อจบคือขอโทษอย่างจริงใจ และขอบคุณที่ได้ให่้บทเรียนที่ดีแก่กลุ่ม เราจะเห็นว่าเมื่อไม่มีการยอมรับ ความพยายามอยากให้ยอมรับจะขับเน้นการกระทำให้มากขึ้นและเมื่อถึงที่สุดก็กลายเป็นความผิดหวัง ที่นำไปสู่ความสิ้นหวังในที่สุด บทเรียนจะเป็นไปในใจของแต่ละคนโดยที่มีความคิดและประสบการณ์เป็นผู้สอน และแน่นอนมนุษย์ทุกคนต้องการการยอมรับและจะแสดงมากขึ้นในทุกๆทางที่ปัญญาที่มีส่งให้กระทำไป
ในความรักใคร่ ส่งให้คนใช้ถ้อยคำแห่งความเกลียดชังเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับความรักใคร่ของตนเอง ชักจูงให้คนเห็น หว่านล้อมให้ยอมรับ แสดงออกมากขึ้น และมากขึ้นเพื่อผลที่จะได้รับการยอมรับ ถ้อยคำแห่งความเกลียดชังจึงพรั่งพรูกันออกมา และซ่อนความรักใคร่ไว้ด้านใน เมื่อมีการรวมหมู่พวกขึ้น การเปลียนถ้อยคำแห่งความเกลียดชังอาจพัฒนาต่อไปเป็นถ้อยคำแห่งการทำลาย
ผมเห็นการชักจูงให้ทำลาย ทำลายด้วยความรักใคร่ ปรารถนาให้สิ่งไม่ปารถนาปราศนาการไป ไปจากความรักใคร่แห่งตน การทำลายสิ่งไม่ปรารถนาอย่างมีความชอบธรรมในความดีแห่งตน แต่ไม่ใช่ความชอบธรรมแห่งธรรม เพราะธรรมไม่เคยทำลายสิ่งใด ธรรมตั้งอยู่อย่างอดทน อดทนและเชื่อในผลแห่งกรรมไม่ได้เชื่อในความพยายามใช้ความดีของคน ความดีที่ทำร้ายทำลายสิ่งแตกต่าง
การดั่งนี้ พระพุทธองค์ ทรงกล่าวไว้ด้วยเห็นความเป็นไปในโอวาทปาฏิโมกข์ ว่า

๏ สพฺพปาปสฺส อกรณํ
กุสลสฺสูปสมฺปทา
สจิตฺตปริโยทปนํ
เอตํ พุทฺธานสาสนํฯ
๏ การไม่ทำความชั่วทั้งปวง
การบำเพ็ญแต่ความดี
การทำจิตของตนให้ผ่องใส
นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
๏ อนูปวาโท อนูปฆาโต
ปาติโมกฺเข จ สํวโร
มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ
ปนฺตญฺจ สยนาสนํ
อธิจิตฺเต จ อาโยโค
เอตํ พุทฺธาน สาสนํฯ
๏ การไม่กล่าวร้าย การไม่ทำร้าย
ความสำรวมในปาติโมกข์
ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร
ที่นั่งนอนอันสงัด
ความเพียรในอธิจิต
นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ขอให้พิจารณาในถ้อยความที่ว่า อนูปวาโท อนูปฆาโต การไม่กล่าวร้าย การไม่ทำร้าย สิ่งเหล่านี้ในช่วงที่่ผ่านมา ผมเห็นและสิ้นหวังอย่างมากในความเป็นชาวพุทธของคนไทย
อนูปวาโท คือ การไม่ใช้ Hate Speech ซึ่งนำไปสู่ Crime Speech และจะนำไปสู่อาชญากรรมและการทำร้าย (Crime & Violence) ในที่สุด
เราไม่อาจยอมรับการกล่าวร้ายและการทำร้ายในฐานะของผู้สร้างได้ สิ่งนี้เป็นการทำลายอย่างแท้จริง
เราเห็นการคุกคามเพื่อให้คนเห็นคล้อยตาม เราเห็นคนที่ตัดสินคนที่ไม่เห็นด้วยว่าไม่ใช่คน เราเห็นว่ากลุ่มคนสร้างความชอบธรรม ด้วยความเชื่อมั่นในความดี คุณธรรมแห่งตน และสร้างมากขึ้นเพื่อทำลายฝ่ายตรงข้าม การพูดชักจูงเหมือนสะกดจิต และให้ตั้งมั่นในความดี คุณธรรมแห่งตนที่ยึดถือไว้ไม่ใช่ความดีที่เป็นของทุกคน มีตรรกะที่สนับสนุนว่าคนอื่นเข้าไม่ถึงความดีที่ตนยึดถือ คนอื่นทึ่เห็นต่างจึงไม่มีคุณค่าเพียงพอที่จะมีความดี ให้น่าสงสัยในความดีเยี่ยงนี้นัก ด้วยว่าเป็นความดีที่ไม่เห็นคนมีคุณค่าทัดเทียมกัน
สิ่งที่มนุษย์พยายามเข้าถึง ความจริง ความงาม ความดี นั้น มีผู้อธิบายไว้ว่า ความจริงนั้นปวดร้าวรันทดเป็นทุกข์ ทุกข์ก็คือความจริง ความทุกข์จะบรรเทาด้วยความงาม เมื่อความงามปรากฏตนความทุกข์ที่เป็นความจริงจะถูกกลบไว้ และนั่นแหละทำให้ความดีได้เผยตัวในใจมนุษย์ มนุษย์จะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ สร้างสรรค์ และทำให้โลกนี้น่าอยู่ ไม่มีการกำจัด ไม่มีการทำร้าย มีแต่ความดีที่เป็นประโยชน์ต่อสรรพสิ่ง พื้นดิน แผ่นฟ้า มหานที และไฟปรารถนาในสรรพธาตุรู้ ความดีเยี่ยงนี้เป็นความดีของทุกคน ไม่ว่าจะศึกษามาแขนงใด เพียงแต่มีความเป็นคน สัมผัสได้กับความดีเยี่ยงนี้เอง

ในถ้อยคำแห่งความเกลียดชังนั้นผมเห็นถ้อยความแห่งรักใคร่มีที่ทางของมันอยู่ มันอยู่ด้วยกันรอเวลาให้ผู้ใช้ถ้อยคำแห่งความเกลียดชังได้พบเห็น เห็นความรักใคร่ที่แฝงอยู่ เมื่อความเกลียดชังจากไป ความเมตตากรุณาเผยตนให้เห็นความรักใคร่นั้น
ถ้อยความแห่งรักใคร่จะปรากฏแก่ทุกคนได้ เพียงเพราะเราดำรงตนอยู่ที่นั่นอย่างอดทนเพียงพอ เหมือนรอให้เมล็ดพันธ์พืชได้งอกงาม ต้นสักใหญ่หลายคนโอบเดิบโตจากเมล็ดพันธ์ที่ไม่ได้โตกว่านิ้วหัวแม่มือเลย เพียงแต่ต้องการเวลา และความอดทน นั่นหมายความว่า มนุษย์ต้องมีเมตตาที่ประมาณมิได้เพื่อให้ เมล็ดพันธุ์นัืนเดิบโต
ด้วยจิตนอบน้อม
ตุ๊ดตู่ ร่าเริง

วันพุธที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ถ้อยความแห่งรักใคร่

ผมใช้เวลาติดตามและสังเกตความเป็นไปในปัจจุบันของสังคมไทย สังคมที่มีการแปลกแยก ช่วงชิง แข่งขัน กระทบกระทั่งกันตลอดเวลา คลื่นแห่งความขัดแย้ง ความชิงชัง ถ้อยคำชักจูง (การแสดงหลักฐานเป็นการชักจูง การทำให้น่าเชื่อถือเป็นการชักจูง การกระตุ้นกิเลสในตัวมนุษย์ ให้รัก ชอบ โกรธ เกลียด แค้น และอื่นๆ เป็นการชักจูงเช่นกัน)
ความคิดของผู้คนเป็นอย่างไรหนอ ระหว่างติดตามและสังเกต ผมก็พยายามทำความเข้าใจไปพร้อมกัน ตลอดเวลาที่ผมแลกเปลี่ยนกับมนุษย์ด้วยกันนั้น ผมเชื่อมั่นเสมอในความเป็นมนุษย์ของแต่ละปัจจเจกบุคคลที่ไม่เหมือนกัน ผมแสดงทัศนะเสมอว่า ในสิ่งที่ดีก็มีสิ่งไม่ดีอยู่ ในสิ่งไม่ดีก็มีสิ่งที่ดีอยู่ มีคนถามผมว่ามันจะอยู่ด้วยกันได้อย่างไร ผมมักยกตัวอย่างความปรารถนาดีระหว่างมารดาและบุตร มารดาปรารถนาดีและตามใจบุตรเสมอมาในขณะเดียวกันก็บ่มเพาะความไม่พึงปรารถนาบางอย่างให้กับบุตรได้ หรือความปรารถนาดีของบุตรที่ขโมยอาหารและยามาให้มารดา สิ่งคู่กันนี้ดำรงอยู่ด้วยกันเสมอมาเป็นพื้นฐาน และความจริงที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ เหมือนหน้ามือและหลังมือมาพร้อมกันแล้วแต่เราจะดูด้านใด แต่มันเชื่อมโยงกันด้วยสิ่งที่สัมผัสได้คือความรักใคร่ ความรักใคร่ที่ขับเน้นให้เราเป็นไป
ในถ้อยคำแห่งความเกลียดชัง นั้นก็มีความรักใคร่แฝงอยู่เช่นกัน เกลียดสิ่งหนึ่งเพราะรักอีกสิ่งหนึ่ง เรามักแยกมันไม่ออกมองมันไม่เห็น หากยังไม่ได้ผลตามที่เราต้องการเรามักแสดงมากขึ้น มีกิจกรรมหนึ่งที่เราใช้ในการแสดงให้เห็นการไม่ยอมรับของสังคม เราใช้ในกลุ่มใหญ่ที่มีคนประมาณ 20 คนขึ้นไป เราให้มีอาสาสมัครสักสามคน ออกไปนอกห้องแล้วมีกติกาว่าเขาต้องแสดงโดยไม่พูดให้คนอื่นทายว่าเขาแสดงเป็นอะไร เรามักใช้สัตว์สามชนิด เช่น งู ช้าง เสือ เป็นต้น แต่ผู้จัดจะรู้ว่าคนที่เข้ามาจะแสดงเป็นอะไร และจะบอกผู้อยู่ในห้องว่าห้ามทายเป็นสัตว์ชนิดนั้น คนแรกเป็นงู เราให้ทายได้ทุกอย่างยกเว้น งู เมื่อผู้แสดงเข้ามาแสดงให้ทาย เขาจะแสดงเริ่มจากคิดว่าเอาละคนต้องรู้แน่ว่าเป็นงู ชูมือ แผ่แม่เบี้ย และเมื่อยังไม่มีคนทายถูกก็จะเพิ่มความพยายามมากขึันไปอีก บางคนลงทุนเลื้อยไปกับพื้น และท้ายที่สุดเมื่อไม่มีใครทายถูกเขาก็หมดแรงและยอมแพ้ เราให้ผู้แสดงคนแรกนั่งดูในห้องและห้ามพูด คนที่สองเข้ามาและอาการก็เป็นอย่างเดียวกัน ผม(ผู้จัด)สังเกตเห็นเขาเริ่มเข้าใจบางอย่างและบางคนที่มีเมตตามากจะน้ำตาใหลสงสารเพื่อนคนที่สองถึงกับหันหลังไม่อยากดู เหตุการณ์เป็นเช่นนี้จนครบสามคน สิ่งแรกที่ทำเมื่อจบคือขอโทษอย่างจริงใจ และขอบคุณที่ได้ให่้บทเรียนที่ดีแก่กลุ่ม เราจะเห็นว่าเมื่อไม่มีการยอมรับ ความพยายามอยากให้ยอมรับจะขับเน้นการกระทำให้มากขึ้นและเมื่อถึงที่สุดก็กลายเป็นความผิดหวัง ที่นำไปสู่ความสิ้นหวังในที่สุด บทเรียนจะเป็นไปในใจของแต่ละคนโดยที่มีความคิดและประสบการณ์เป็นผู้สอน และแน่นอนมนุษย์ทุกคนต้องการการยอมรับและจะแสดงมากขึ้นในทุกๆทางที่ปัญญาที่มีส่งให้กระทำไป
ในความรักใคร่ ส่งให้คนใช้ถ้อยคำแห่งความเกลียดชังเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับความรักใคร่ของตนเอง ชักจูงให้คนเห็น หว่านล้อมให้ยอมรับ แสดงออกมากขึ้น และมากขึ้นเพื่อผลที่จะได้รับการยอมรับ ถ้อยคำแห่งความเกลียดชังจึงพรั่งพรูกันออกมา และซ่อนความรักใคร่ไว้ด้านใน เมื่อมีการรวมหมู่พวกขึ้น การเปลียนถ้อยคำแห่งความเกลียดชังอาจพัฒนาต่อไปเป็นถ้อยคำแห่งการทำลาย
ผมเห็นการชักจูงให้ทำลาย ทำลายด้วยความรักใคร่ ปรารถนาให้สิ่งไม่ปารถนาปราศนาการไป ไปจากความรักใคร่แห่งตน การทำลายสิ่งไม่ปรารถนาอย่างมีความชอบธรรมในความดีแห่งตน แต่ไม่ใช่ความชอบธรรมแห่งธรรม เพราะธรรมไม่เคยทำลายสิ่งใด ธรรมตั้งอยู่อย่างอดทน อดทนและเชื่อในผลแห่งกรรมไม่ได้เชื่อในความพยายามใช้ความดีของคน ความดีที่ทำร้ายทำลายสิ่งแตกต่าง
การดั่งนี้ พระพุทธองค์ ทรงกล่าวไว้ด้วยเห็นความเป็นไปในโอวาทปาฏิโมกข์ ว่า

๏ สพฺพปาปสฺส อกรณํ
กุสลสฺสูปสมฺปทา
สจิตฺตปริโยทปนํ
เอตํ พุทฺธานสาสนํฯ
๏ การไม่ทำความชั่วทั้งปวง
การบำเพ็ญแต่ความดี
การทำจิตของตนให้ผ่องใส
นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
๏ อนูปวาโท อนูปฆาโต
ปาติโมกฺเข จ สํวโร
มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ
ปนฺตญฺจ สยนาสนํ
อธิจิตฺเต จ อาโยโค
เอตํ พุทฺธาน สาสนํฯ
๏ การไม่กล่าวร้าย การไม่ทำร้าย
ความสำรวมในปาติโมกข์
ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร
ที่นั่งนอนอันสงัด
ความเพียรในอธิจิต
นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ขอให้พิจารณาในถ้อยความที่ว่า อนูปวาโท อนูปฆาโต การไม่กล่าวร้าย การไม่ทำร้าย สิ่งเหล่านี้ในช่วงที่่ผ่านมา ผมเห็นและสิ้นหวังอย่างมากในความเป็นชาวพุทธของคนไทย
อนูปวาโท คือ การไม่ใช้ Hate Speech ซึ่งนำไปสู่ Crime Speech และจะนำไปสู่อาชญากรรมและการทำร้าย (Crime & Violence) ในที่สุด
เราไม่อาจยอมรับการกล่าวร้ายและการทำร้ายในฐานะของผู้สร้างได้ สิ่งนี้เป็นการทำลายอย่างแท้จริง
เราเห็นการคุกคามเพื่อให้คนเห็นคล้อยตาม เราเห็นคนที่ตัดสินคนที่ไม่เห็นด้วยว่าไม่ใช่คน เราเห็นว่ากลุ่มคนสร้างความชอบธรรม ด้วยความเชื่อมั่นในความดี คุณธรรมแห่งตน และสร้างมากขึ้นเพื่อทำลายฝ่ายตรงข้าม การพูดชักจูงเหมือนสะกดจิต และให้ตั้งมั่นในความดี คุณธรรมแห่งตนที่ยึดถือไว้ไม่ใช่ความดีที่เป็นของทุกคน มีตรรกะที่สนับสนุนว่าคนอื่นเข้าไม่ถึงความดีที่ตนยึดถือ คนอื่นทึ่เห็นต่างจึงไม่มีคุณค่าเพียงพอที่จะมีความดี ให้น่าสงสัยในความดีเยี่ยงนี้นัก ด้วยว่าเป็นความดีที่ไม่เห็นคนมีคุณค่าทัดเทียมกัน
สิ่งที่มนุษย์พยายามเข้าถึง ความจริง ความงาม ความดี นั้น มีผู้อธิบายไว้ว่า ความจริงนั้นปวดร้าวรันทดเป็นทุกข์ ทุกข์ก็คือความจริง ความทุกข์จะบรรเทาด้วยความงาม เมื่อความงามปรากฏตนความทุกข์ที่เป็นความจริงจะถูกกลบไว้ และนั่นแหละทำให้ความดีได้เผยตัวในใจมนุษย์ มนุษย์จะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ สร้างสรรค์ และทำให้โลกนี้น่าอยู่ ไม่มีการกำจัด ไม่มีการทำร้าย มีแต่ความดีที่เป็นประโยชน์ต่อสรรพสิ่ง พื้นดิน แผ่นฟ้า มหานที และไฟปรารถนาในสรรพธาตุรู้ ความดีเยี่ยงนี้เป็นความดีของทุกคน ไม่ว่าจะศึกษามาแขนงใด เพียงแต่มีความเป็นคน สัมผัสได้กับความดีเยี่ยงนี้เอง

ในถ้อยคำแห่งความเกลียดชังนั้นผมเห็นถ้อยความแห่งรักใคร่มีที่ทางของมันอยู่ มันอยู่ด้วยกันรอเวลาให้ผู้ใช้ถ้อยคำแห่งความเกลียดชังได้พบเห็น เห็นความรักใคร่ที่แฝงอยู่ เมื่อความเกลียดชังจากไป ความเมตตากรุณาเผยตนให้เห็นความรักใคร่นั้น
ถ้อยความแห่งรักใคร่จะปรากฏแก่ทุกคนได้ เพียงเพราะเราดำรงตนอยู่ที่นั่นอย่างอดทนเพียงพอ เหมือนรอให้เมล็ดพันธ์พืชได้งอกงาม ต้นสักใหญ่หลายคนโอบเดิบโตจากเมล็ดพันธ์ที่ไม่ได้โตกว่านิ้วหัวแม่มือเลย เพียงแต่ต้องการเวลา และความอดทน นั่นหมายความว่า มนุษย์ต้องมีเมตตาที่ประมาณมิได้เพื่อให้ เมล็ดพันธุ์นัืนเดิบโต
ด้วยจิตนอบน้อม
ตุ๊ดตู่ ร่าเริง

วันพฤหัสบดีที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2556

กรรมะสานใจ : อุปถัมป์ (5) จิระชัย ศรีสมบัติ

 
จิระชัย อ้วน ริมเขื่อนศรีนครินทร์ จ.กาญจนบุรี


ผมรู้จักกับอ้วน เมื่อตอนไปเรียนที่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในปี ๒๕๓๕ อ้วนได้ขับรถไปและผมติดรถอ้วนไป
ปี ๒๕๓๘ ผมได้อาศัยอยู่บ้านอ้วนเป็นระยะเวลาหนึ่ง
ปี ๒๕๔๐ ผมได้รับอนุเคราะห์บ้านพักจากอ้วนในเมืองเชียงใหม่เพื่อไปทำการค้นคว้าอิสระและเรียนจนจบได้
ปี ๒๕๔๙ ผมได้รับการเสนอจากอ้วนให้เป็นผู้บรรยาย เรื่องการจัดการความรู้

อ้วนยังเป็นอาจารย์ผมในเรื่องการใช้ Excel และอีกหลายๆ เรื่อง
อ้วนให้ความอุปถัมป์ผมมาโดยตลอด คิดถึงและไม่ลืมบุญคุณครับ
 

เมื่อได้พบ คบเรียน และร่วมงาน
จากวันวาน ยากไร้ ได้พึ่งเพื่อน
ให้ที่อยู่ ที่พัก ให้ยานเคลื่อน
ยังติดเตือน ให้โอกาส ได้ทำงาน
 

ให้ความคิด ให้มิตร ให้ความรู้
ได้เป็นผู้ บรรยาย อย่างอาจหาญ
หลักสูตรคุณ อำนวย ได้ประสาน
และทำการ อบรม ไปด้วยกัน
 

คนมุ่งมั่น ตั้งใจ ให้ฝึกฝน
จนเป็นคน มั่นใจ ในมาดมั่น
เคร่งขรึมคล้าย เคร่งเครียด ความคู่ครัน
เมื่อคบนั้น พลันรัก สมัครใจ
 

อันคนเรา ก้าวไป ในวิถี
มีความดี สรรค์สร้าง อย่างสดใส
เมื่อได้เลือก ตั้งหน้า แล้วมุ่งไป
หนทางใหม่ ให้ใจ ได้ทนง
 

คือคนที่ มีจุด ที่หมายมั่น
คือเติมฝัน ฝากไว้ ไม่ใหลหลง
คือจิระชัย คนนี้ ที่มั่นคง
คือคนตรง ตามที่ คนนี้เป็น(เอย)


ด้วยจิตนอบน้อม
ตุ๊ดตู่ ร่าเริง