วันพุธที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2562

กวี และถ้อยคำ



เพื่อนรุ่นน้องส่งกลอนมาให้ เธอคงเห็นเราชอบคำกลอนของเนาวรัตน์

เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์  4 กันยายน 2017

คำผวน ควรพร่ำ เป็นคำผวน
ชวนสาว ชาวสวน ไปชวนสาว
แสงดาว สาวแดง เพียงแสงดาว
สาวรวย สวยราว เจ้าสาวรวย

คลายเส้น เคล้นสาย ค่อยคลายเส้น
เล่นหวย รวยเห็น เพราะเล่นหวย
อำนวย อวยนำ ให้อำนวย
ช่วยได้ ใช่ด้วย แค่ช่วยใด

ย่าปู่ อยู่ป่า ทั้งย่าปู่
ครูใหญ่ ใครอยู่ กับครูใหญ่
คนไทย ใครทน เท่าคนไทย
ไตวาย ตายไว เพราะไตวาย

ฟ้าหม่น ฝนมา จึงฟ้าหม่น
หล่นหาย หลายหน แล้วหล่นหาย
รอยทราย รายซอย เป็นรอยทราย
หมายตา หมาตาย ต้องหมายตา

บางคน บ่นคราง แต่บางคน
ฝนห่า ฝ่าหน กลางฝนห่า
ต้องปา ตาป้อง ก็ต้องปา
ท่าน้ำ ทำนา ที่ท่าน้ำ

ย้ำคืน ยืนคำ ไม่ย้ำคืน
รื่นฉ่ำ ล้ำชื่น ระรื่นฉ่ำ
กฎนำ กำหนด เป็นกฎนำ
คำไทย ใครทำ หนอคำไทย !

‪#เนาวรัตน์พงษ์ไพบูลย์‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬ ‪#ข้อคิดติดจันทร์‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬‬ #คำผวนควรพร่ำ
https://www.facebook.com/135170583206861/posts/1567382073319031/

เคยชอบเนาวรัตน์ มากๆ มีหนังสือกลอนหลายเล่มของเขา นั่นในยามเด็กถึงวัยรุ่น คำกลอนของเขาปลุกเร้าให้อยากลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อความถูกต้อง และให้มีกำลังใจไม่ย่อท้อ

เคยชังเนาวรัตน์ มากๆ พฤติกรรมของเขาหลายอย่างไม่ได้เป็นอย่างที่เขาบอกเราในอดีต

ปัจจุบันเฉยๆ กับเนาวรัตน์ ไม่สนใจ ไม่ชื่นชม ไม่ชังแช่ง เฉยๆ
เนาวรัตน์ แสดงความเป็นธรรมดาของชีวิต สอนเราได้อีกว่าสรรพสิ่งย่อมแปรไป เกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วก็ดับไป ท่ามกลางคนสรรเสริญ ก็มีคนนินทา
ในถ้อยคำที่ไพเราะ งดงาม มีอะไรที่ซ่อนอยู่ ให้ระวัง ให้ค้นหา ถ้อยคำเมื่อออกมาแล้วปรากฏมันเป็นสาธารณะ แล้วแต่ใครจะเข้าไปยึดถือตีความ

ตอนเด็กนั้นบทกวีเป็นอะไรที่ให้เราหนีจากความเป็นจริงได้ ฝันอยู่กับบทกวี ลุ่มหลงไปในถ้อยคำ
บทกลอนที่เพื่อนรุ่นน้องส่งมาให้กระตุ้นเตือนให้ระลึกย้อนไปในวันวาน
อ่านกลอนมาเยอะ แต่งไว้ก็เยอะ ชอบของหลายท่าน ภาษานั้นมีหลากหลายถ่ายเทไปมา เคยเห็นโคลงภาษาลาว ...
หลากหลาย รุไบยาตก็อ่านหลายเวอร์ชั่น ตามประสาคนหลงใหลถ้อยคำ ร้อยกรอง

ขรรค์ชัย บุนปาน  สุจิตต์ วงษ์เทศ  ไพบูลย์ วงษ์เทศ (ปัจจุบันยังเขียนกลอนในมติชนสุดสัปดาห์) วานิช จรุงกิจอนันต์  นายผี และอีกหลายๆท่าน มีของหลายท่านที่จำได้

ที่งดงามและอ่านตั้งแต่เด็กน่าจะเป็น ของอุชเชนี

'ฉันอยู่เพื่อความฝันอันเพริศแพร้ว
เมื่อโลกแผ้วหลุดพ้นฅนหลอกหลอน
เมื่ออามิสฤทธิ์แรงแท่งทองปอนด์
มิอาจคลอนใจฅนให้หม่นมัว
ฉันอยู่เพื่อยุคทองของฅนยาก
ที่เขาถากทรกรรมซ้ำปั่นหัว
เพื่อความถูกที่เขาถมจมทั้งตัว
เพื่อความกลัวกลับกล้าบั่นอาธรรม'

...
มิ่งมิตร
เธอมีสิทธิ์ที่จะล่องแม่น้ำรื่น
ที่จะบุกดงดำกลางค่ำคืน
ที่จะชื่นใจหลายกับสายลม
ที่จะร่ำเพลงเกี่ยวโลมเรียวข้าว
ที่จะยิ้มกับดาวพราวผสม
ที่จะเหม่อมองหญ้าน้ำตาพรม
ที่จะขมขื่นลึกโลกหมึกมน
ที่จะแล่นเริงเล่นเช่นหงษ์ร่อน
ที่จะถอนใจทอดกับยอดสน
ที่จะหว่านสุขไว้กลางใจฅน
ที่จะทนทุกข์เข้มเต็มหัวใจ
ที่จะเกลาทางกู้สู่ฅนยาก
ที่จะจากผมนิ่มปิ้มเส้นไหม
ที่จะหาญผสานท้านัยน์ตาใคร
ที่จะให้สิ่งสิ้นเธอจินต์จง
ที่จะอยู่เพื่อฅนที่เธอรัก
ที่จะหักพาลแพรกแหลกเป็นผง
ที่จะมุ่งจุดหมายปรายทะนง
ที่จะคงธรรมเที่ยงเคียงโลกา
เพื่อโค้งเคียวเรียวเดือนและเพื่อนโพ้น
เพื่อไผ่โอนพลิ้วพ้อล้อภูผา
เพื่อเรืองข้าวพราวแพร้วทั่วแนวนา
เพื่อขอบฟ้าขลิบทองรองอรุณ
...
ขอบฟ้าขลิบทองของ อุชเชนี งดงาม ไพเราะเสมอ

ตราบที่กวียังคงเขียนงาน ผ่านพบก็ชอบอ่าน บางครั้งมีแรงบันดาลใจก็เขียนไว้
ชีวิตนี้น้อยนัก อย่าเสียเวลาไปชอบ ชัง สิ่งใดเลยครับ มีความสุขใจและให้ถ้อยคำปรารถนาประโยชน์ได้ปรากฏไว้
...
เคยชอบ ขอบเชย ใช่เคยชอบ
มีคำตอบ มอบคำตี ให้พี่เนาว์
พี่แปรพักตร์ ปักแผล ให้แก่เรา
รับใช้เอา ไล่ฉับ กับอำนาจ...
...
กฏหมายอัน กลายหมด คือกฏหมาย
ที่สุดท้าย ท้ายสุดที่ มีกำหนด
หมายมากด หมดมากลาย หมายมากด
ให้หัวหด หดหัว กลัวกฏหมาย
ชนชั้นใด ใช่ชั้นดล คนเขียนกฏ
เพื่อความกด พจน์ความเกื้อ เอื้อพวกหน่าย
คนสุดท้าย คล้ายสุดทน คดจนตาย
มุ่งทำลาย หมายทำรุ่ง แค่พวกตน...

ทิพย์ พัชน์ศรี 12 กันยายน 2562

วันอาทิตย์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2562

ยึดถือ



ผมได้รับบทความจากเพื่อน เกี่ยวกับเรื่องความเห็นของบุคคลสองคน อันเนื่องมาจากการแสดงความเห็นของ คน ต่อ คน คนหนึ่งคิด อีกคนหนึ่งคิด เป็นที่น่าสนใจว่าคิดเรื่องเดียวกันบนสิ่งยึดถือที่ต่างกัน แต่บ่งชี้ว่าเป็นไปเพื่อสิ่งเดียวกัน ยังไม่เห็นผลเปลี่ยนแปลง ...
(ประเวศ วะสี: นิเวศทางปัญญา​ของมหาชน ยุทธศาสตร์​ทางปัญญาพาชาติออกจากวิกฤต 14 Aug 2019 - กองบรรณาธิการ และ สุรพศ ทวีศักดิ์: ประเวศ วะสี กับการไม่พูดถึงเสรีภาพ ประชาไท / บทความ on Thu, 2019-08-15 15:03 )
ผมไม่ค่อยได้อ่านบทความ หรือรายงานใดๆ อย่างจริงจังมานานแล้ว มันเบื่อหน่ายเรื่องต่างๆ ไปหมด รู้สึกสิ้นหวังและไม่มีกำลัง อยู่อย่างเงียบงันภายใต้อำนาจที่กดทับเสียงอันเปล่งออกไม่ได้ แต่ความคิดดังก้องอยู่ข้างใน จึงไม่อยากรับรู้เรื่องราว หรือคิด รวมทั้งการแสดงออกต่อสิ่งที่เกิดขึ้น หมดไฟไปนานแล้ว
แต่มาสะดุดกับ ประเวศ วะสี และสุรพศ ทวีศักดิ์ แวบแรกนั้นรู้สึกว่าคนที่ยึดถือคนละอย่างต่างแสดงทัศนะในเรื่องที่ต้องให้เป็นไปเป็นเรื่องทางวิชาการที่จะขับเคลื่อนสังคม สังคมที่ฟังแล้วเอาไปคิดแล้วทำ สังคมเป็นคนรับไป รับกรรมที่เกิดแล้วและรับกรรมที่ทำหรือไม่ทำต่อไป
เมื่ออ่านรายงานใน WAY แค่โปรยแรกก็กระอักแล้ว (ทัศนะของผมต่อไปนี้เป็นความรู้สึกเมื่ออ่าน)

"อุปสรรคใหญ่ที่ทำให้ประเทศไทยติดขัดและวิกฤต คือ
การที่ประเทศเต็มไปด้วยโครงสร้างอำนาจ แต่ขาดโครงสร้างทางสมอง หรือโครงสร้างทางปัญญาที่พอเพียง ถึงจะพัฒนาด้านอื่นๆ เท่าใด ก็จะออกจากวิกฤตไม่ได้ ถ้าไม่ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ทางปัญญา"

อยากจะบอกประเวศว่า ปัญญาน่ะมี มีมาก มีหลายหลากด้วยแต่ แ...ง แสดงออกในประเทศนี้ได้ยาก มันไม่มีที่ทางให้ปัญญาเล็กน้อยได้แสดงออก ปัญญาใหญ่ๆ ก็ไม่สามารถเขยื้อนภูเขาได้ ประชาชนเป็นคน ไม่ใช่เป็นเพียงพลเมืองที่มีกัมม์ ไอ้การเอาศาสนา เอาความดี เอาการหลีกลี้ มาดัดแปลงแต่งตัวแล้วคิดว่าบรรลุนั้นมันขับเคลื่อนสังคมไม่ไป นั่งหลับตาขัดขาภาวนาต่อไป ห่างไกลจากประชาที่เป็นคน เป็นมนุษย์
สงสารตัวเองที่เมื่อกลับมาอ่านดันเริ่มอ่านจากสิ่งที่ไม่ขับเคลื่อนการยึดถือให้พัฒนา
ตัวอย่างที่เป็นจริงของ กลุ่มเรียนรู้ขนาดเล็ก คือการพาไป หายไป แล้วเราได้เรียนรู้ว่าการลื่นล้มทำให้สมองบวมได้ เซลล์สมองตายบวมก่อนเพราะเรียนรู้จากการปฏิบัติ ส่วนกลุ่มคลังสมองก็จะมีกลุ่มคลั่งสมองคลั่งสิ่งไร้สาระอันขับเคลื่อนไป และระบบการเรีบนรู้ทั้งสี่นั้นมุ่งเน้นสร้างทาสมากกว่าความเป็นมนุษย์ วิชาการอันไร้ความรู้สึก ... มันสันติสุขไม่ได้ด้วย (การแยกสิ่งเดียวกันเป็นสามส่วน)
"หนึ่ง – หัวใจของความเป็นมนุษย์ (Heart)
สอง – การใช้ข้อมูล ความรู้ ความคิด (Head)
สาม – การลงมือปฏิบัติและการจัดการ (Hand)"
ตราบที่ความยุติธรรมยังเป็นที่น่ากังวล และสิทธิของมนุษย์ยังไม่ได้รับ
อ่านรายงาน ประเวศ แล้วอ่านความเห็นของ สุรพศ พูดถึงสองประเด็นในเรื่องอำนาจและปัญญา แล้วสรุปลงตรงที่ อำนาจไม่ปรับปัญญาไม่เกิด ด้วยเสรีภาพอันไม่เท่าเทียมกัน
"หรือพูดอีกอย่าง ในความเป็นจริงสังคมทุกสังคมก็มีข้างมีฝ่ายที่มีความเห็นต่างทั้งนั้น หากไม่มีเสรีภาพที่เท่าเทียมในการพูด การแสดงออก การอภิปรายสาธารณะ เสรีภาพทางการเมืองและอื่นๆ คนที่คิดต่างจะอยู่ร่วมกันอย่างเสมอภาคและมีศักดิ์ศรีความเป็นคนได้อย่างไร และสิ่งที่คุณหมอประเวศฝันจะเป็นจริงได้อย่างไร"

อ่านสองบทความจบก็ยังไม่เพิ่มหรือเขยื้อนความยึดถือของตัวเอง หรือแม้แต่สั่นคลอน
ผมรู้สึกว่า ย้ำ รู้สึก ...
การยึดถือนั้นประกอบสร้างสังคม การยึดถือไม่ว่าเดี่ยวหรือรวมหมู่ หากประกอบสร้างจากการแข่งขัน จะเกิดการสร้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และสิ่งชั่วร้าย ในความเห็นต่าง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของฝ่ายหนึ่งคือสิ่งชั่วร้ายของอีกฝ่ายหนึ่ง ในทางกลับกัน สิ่งชั่วร้ายของฝ่ายหนึ่งคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของอีกฝ่ายหนึ่งเช่นกัน แบ่งข้างแบ่งขั้วจึงชัดขึ้นและสังคมไม่มีที่ยืนให้คนที่ไม่ใช่ทั้งสองฝ่าย แล้วเมื่อการทำร้าย ทำลาย เกิดขึ้น ความล่มสลายก็ตามมา
หากการยึดถือนั้นประกอบด้วยความเข้าใจ เห็นใจ มีอิสระภาพ เสรี เท่าเทียม ธรรมอันยุติแล้ว สิ่งที่สร้างจะหลอมรวม
สิ่งที่ผมเห็นคือ โลกดำเนินไปต่อสู้กัน คนสองจำพวกมาเจอกัน คนที่เอาเปรียบไม่คิดชีวิต และคนที่เสียชีวิตไม่ยอมเสียเปรียบ แก่งแย่ง แข่งขัน ห้ำหั่น เฉือดเฉือน ...
ผมไม่มีทางออกให้กับสังคมนี้ ไม่มีคำแนะนำ มีแต่ความรู้สึกเช่นเดิม
เงียบไว้ เงียบ (หุบปาก)

วันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562



พื้นที่ชีวิต ตอน 68 เอกภาพแห่งสรรพสิ่ง (ออกอากาศ 12 ก.ย.2555 )

สรรพสิ่งล้วนเชื่อมโยงกัน เป็นหนึ่งเดียว