วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2554

หันหน้าเข้าหากัน

โจทย์จากพัฒนาการในการหาปัจจัยนำเข้าสร้างสรรค์ความรู้เพื่อพัฒนาองค์กร
อิ่ง ซ้อเจ็ดให้คำถามว่าปี ๒๕๕๕ เราจะนำพาพวกเราได้เรียนรู้จากภายนอกด้วยเรื่องอันใดี
ตุ๊ดตู่ ร่าเริงได้คำนึงถึงสิ่งที่เราทุกวันนี้ทำกันอยู่หากเราเพียงแต่ปรารถนาดีต้วยการหันหน้าเข้าหากัน ทุกสิ่งจะดีขึ้นมาก จึงนำเสนอ หัวข้อแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่อง หันหน้าเข้าหากัน ซึ่งเมื่อเปิด KM Blog รวฟ. ได้นำเสนอไว้เป็นเรื่องแรกๆ ทีเดียว
ต่อไปนี้เป็นรายละเอียดที่นำเสนอ
การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้วยการ หันหน้าเข้าหากัน
หลักการและเหตุผล
ชีวิตคือการทดลองและสังเกตุ เราเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างเป็นธรรมชาติด้วยวิธีนี้ เมื่อเด็กเราร้องแหกปากตะโกนเพื่อดูว่ามีใครสนใจเราบ้าง เราทดลองเรียกแม่ ครั้งแรกของการเปล่งคำเพื่อสนองความภาคพูมใจของแม่ และเราทดลองและสังเกตุการตอบสนองเราทดลองต่อ และเราละเลยสิ่งที่ไม่ตอบสนองเราปฏิเสธและละเลย เราอบอุ่นอ้างว้างแตกต่างกัน มีความสมหวังและเจ็บช้ำต่างกัน แล้วสร้างสิ่งยึดถือในใจมากำกับใจเราจากประสบการณ์ที่ผ่านมา
เราแหกปากครั้่งแรกอย่างไม่มีเจตจำนง(หมอตีตูดให้ร้อง) แต่เราแหกปากครั้งต่อมาเพื่อบางสิ่งบางอย่าง คนที่ชอบหันหน้ามาหาเรา คนไม่ชอบหันหลังให้กับเรา เราทดลองและสังเกตุ เรียนรู้จดจำนำไปทำต่อ บางครั้้งบางคราวไม่เป็นตามความทรงจำแห่งอนาคตที่เห็น  ความเป็นจริงดูโหดร้ายมากแต่เราไม่แหกปากแล้ว กรอบบางอย่างกดทับเรากลับมาอยู่ในตัวเราหันหลังให้กับสิ่งภายนอก หันหลังให้กับทุกเหตุผล ความเรา ไม่ีใครเหมือนฉัน(กู) ตัวฉัน(กู)จะเป็นอย่างนี้แหละ ใคร(มึง)จะทำไม ฉัน(กู)ไม่แคร์ เราจึงไม่หันหน้าเข้าหาใคร แม้นาย ฉัน(กู)ก็ไม่แคร์(มึง)
สภาพการทำงานที่ผ่านมาก็เช่นเดียวกัน จากการทดลองและเรียนรู้ ก่อตัวตน กรอบขึ้นมา ฝังแน่น ยาวนาน สิ่งที่ทำแล้วไม่ได้ผลเราจึงไม่นำมาทำอีกเป็นสิ่งที่ทิ้งไป หากชีวิตคือพัฒนาการ เราไม่สามารถพัฒนาให้ถึงขึดสุดของชีวิตได้อย่างที่ควรเป็นหรือไม่ ด้วยกรอบและการแปลกแยก ด้วยเทคโนโลยีที่แยกเราออกจากคนใกล้และเชื่อมคนไกล บางครั้งเราพัฒนาไม่ได้ เรากันตัวเราออกจากสิ่งจำเป็นและเชื่อมต่อกับสิ่งไม่จำเป็นมากเกินไป เพื่อสนองต่อความสงบ ไม่เบียดเบียนในสังคมปัจจุบัน
วันนี้เราคงต้องมาทบทวนบ้างว่า เรา(กู)จะอยู่โดดเดียวบนสังคมซับซ้อนได้อย่างไร ถ้าฉัน(กู)ไม่สนใจใคร ไม่เคยสนว่าเธอ(มึง)จะเดือดร้อนอะไร ตราบใดที่ฉัน(กู)จะอยู่คนเดียว(ตัวกูผู้เดียวจะสู้ตาย)คงมีข้อจำกัดมาก แต่สนองมานะคือตัวกูได้อย่างดี
เมื่อเห็นว่าอยู่คนเดียวดีกว่าคงไม่ต้องหันหน้าเข้าหาใครนอกจากกระจกเพื่อดูว่าฉัน(กู)ยังดูดีอยู่ หากไม่คงต้องหันหน้าเข้าหากันบ้าง
การหันหน้าเข้าหากันจะสนองต่อความจริงที่ว่าหากเราจะอยู่นิรันดร์ได้ เราต้องมีข่ายใยที่สอดประสาน สืบทอด ส่งต่อ และสร้างสรรค์
ทุกวันนี้องค์กรเรามีผู้เข้ามาใหม่มาก ผู้อยู่มาก่อนจะจากไปตามวาระ เร็วกว่าการทดแทน ทดแทนได้เพียงจำนวน แต่ความสามารถที่ต้องอาศัยเวลานั้นทดแทนได้ยากกว่า การสืบต่อ(สันคติ)และการยังความสามารถให้เต็ม(ปุตตะ) คือแนวทางที่จะต้องดำเนินไป เป็นคำตอบขององค์กร
การสืบต่อ(สันคติ)คือการต่อเนื่อง มองไม่เห็นการขาดช่วง สืบต่ออย่างไม่ขาดตอนเสมือนเปลวเทียนที่แสงนั้นเป็นแสงที่เกิดจากการลามไหม้ของใส้เทียน แสงนั้นดูเหมือนจะไม่ขาดตอนต่อเนื่องแต่ความเป็นจริงมีเกิดดับเป็นระยะ
การยังความสามารถให้เต็ม(ดัดแปลงจากผู้ยังความฝันให้เต็ม : ปุตตะ) เป็นผู้ที่สืบต่อปณิธานที่ต้องการ ชีวิตคนเราสั้นนักยากจะทำอะไรให้สำเร็จได้ในช่วงชีวิตหนึ่ง ดังนั้นสิ่งที่ยังทำไม่สำเร็จต้องมีผู้มุ่งมั่นเข้าใจมาทำต่อความสามารถนั้น ลอกเรียน เรียนรู้ เรียนลัดเพื่อยังให้ความสามารถในการดำเนินการคงอยู่ได้อย่างต่อเนืิ่องยาวนานเสมือนนิรันดร์
ทั้งการสืบต่อ(สันคติ) และการยังความสามารถให้เต็ม(ปุตตะ) ต้องอาศัยการนำของรุ่นต่อรุ่น การสืบต่อ(สันคติ) และการยังความสามารถให้เต็ม(ปุตตะ)ต้องอาศัยความเป็นจริงที่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างกลมกลืนไม่ขัดเขิน องค์กรออกแบบสิ่งต่างๆ เหล่านี้ผ่าน กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ดูความก้าวหน้าจากการปรับเปลี่ยนสิ่งเหล่านี้ และการนำสิ่งเหล่านี้ไปปฏิบัติ สิ่งเหล่านี้เป็นข้อถกแถลงมากมายท่ามกลางสภาพที่กรอบของแต่ละคน(กู)แต่ละงาน(กู)เพิ่มขึ้น ทิษฐิ มานะ พอกพูน เพิ่มทับ ศักยภาพคนไม่เบ่งบาน ศักยภาพองค์กรไม่พัฒนา
การ หันหน้าเข้าหากัน จึงเป็นแนวทางที่บ่งว่า เราได้ตระหนักรู้ในตนที่จะมุ่งบนข่ายใยความสัมพันธ์กับทุกคนและทุกสรรพสิ่ง เห็นว่าต้องมีการสืบต่อ(สันคติ)และการยังความสามารถให้เต็ม(ปุตตะ) โดยแบ่งปัน ถักทอ ปลูกฝัง บ่มเพาะ เพื่อความยั่งยืน (ยั่งยืนของผมคือ สันคติ หากมีข้อเสนอแนะ โปรดส่งมายัง Siriwatana.K@egat.co.th หวังในความกรุณาครับ)
วัตถุประสงค์
เพื่ีอให้คน กฟผ. หันหน้าเข้ามาพูดจากันบนพื้นฐานความเป็นมนุษย์ : รักและเข้าใจกันอย่างปราศจากเงื่อนไข เพื่อการสืบต่อ(สันคติ)และการยังความสามารถให้เต็ม(ปุตตะ) ของ กฟผ. เป็นไปอย่างสร้างสรรค์ไปยังรุ่นต่อๆ ไป บนพื้นฐานความคิด เครือข่าย(สมุหะ)จะสร้างพลังมากคนเดียว(ปัจเจก)จะทำได้ เครือข่ายที่สามัคคี สอดคล้อง ไปด้วยกัน สร้างพลังสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่อง เครือข่าย(สมุหะ)มาจากคนเดียว(ปัจเจก)ที่รวมกัน ดังนั้นคนเดียว(ปัจเจก)คือตัวกำหนดเครือข่าย(สมุหะ) คน กฟผ. ต้องเข้าใจตน เริ่มจากตนเพื่อเข้าใจสรรพสิ่ง
คุณสมบัติผู้เข้าอบรม
ทุกระดับ ที่ต้องการเข้าอบรม (รวมทั้งพวกต้องการลองของใหม่ด้วย)
ผลที่คาดว่าจะได้รับ
คน กฟผ. จะสนทนาอย่างสร้างสรรค์ พบแนวทางสร้างการสืบต่อ(สันคติ)และการยังความสามารถให้เต็ม(ปุตตะ)
วิทยากรได้รับประสบการณ์เพิ่ม
แนวทางดำเนินการ
กิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ สี่วันสามคืน
สี่ช่วงการหันหน้าเข้าหากันประกอบด้วย
ตระหนักรู้ในตน คือ รู้ตน สังเกตุ เรียนรู้ เข้าใจ
มุ่งบนความสัมพันธ์ คือ รู้จุดมุ่งหมาย การสืบต่อ(สันคติ)และการยังความสามารถให้เต็ม(ปุตตะ)
แบ่งปันและถักทอ คือ รู้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ฟังอย่างไรให้ได้ยิน สร้างอย่างไรให้ สืบต่อ
ต่อเนื่องดำรงนิรันดร์ คือ รู้การหันหน้าเข้าหาสรรพสิ่ง เรียนรู้อะไรจากชีวิตและการงาน
กิจกรรม การบรรยาย สนทนา จดบันทึกการสังเกตุ
กิจกรรมวันแรก
Check In
เกริ่นนำ เครื่องมือ ... ใส่ U Theory และ Dialogue...
หันข้างสนทนา เล่าเรื่องวัยเยาว์ (สองคน) สามนาที สรุปความรู้สึก
ใส่ สี่ทิศ
สนทนาสี่ทิศ (กลุ่ม)
สนทนาความสำเร็จครั้งแรกของชีวิต (กลุ่มเดิม ตามด้วยการสังเกตุ พวกเดียวกันความสำเร็จเหมือนกันไหม เป็นการเข้าใจตนเอง และพวกเดียวกัน -ปัจเจก สู่ สมุหะ)
ใส่ กติกาการหันหน้าเข้าหากัน
สนทนา การหันหน้าเข้าหากัน
ใส่ การบ้าน การจดบันทึก
กิจกรรมวันที่สอง
ทบทวน แถลงบันทึก
ใส่ ศักดิ์ของเรา
สนทนา ศักดิ์ของเรา
ใส่ ผู้เติบโตแล้ว
สนทนาผู้เติบโตแล้ว
ใส่ พลังแห่งการเคลื่อนไป
สนทนา ความเครียด การผ่อนคลาย การเรียนรู้ ใน ชีวิต งาน และการซ่อมสร้าง
กิจกรรมวันที่สาม
ใส่ สมอง หัวใจ และกาย
สนทนา สมอง หัวใจ และกายที่รับรู้
ใส่ รวมเป็นหนึ่งกับหัวใจ
สนทนา ฝึกการรวมเป็นหนึ่งกับหัวใจ
ทบทวน U Theory Dialogue
สนทนา สอบทวน U Theory Dialogue
กิจกรรมวันที่สี่
ใส่ ถอดบทเรียน
สนทนา บทเรียนรู้
ใส่ ความทรงจำแห่งอนาคต
สนทนา ความทรงจำแห่งอนาคต
ใส่ เจตจำนงแห่งจักรวาล
สนทนา เจตจำนงของตน
สรุป โดยผู้เข้าอบรมและวิทยากร
Check Out
จบกิจกรรม

วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2554

ความในใจกับการจัดการความรู้

เราเริ่มจากครูสมพรได้ไหม ครูบอกว่า ให้ความรักก่อนให้ความรู้
เราเริ่มจากร่างกายได้ไหม ทุ่มเททำ ก่อนใช้ความรู้สึกว่าควรทำ และ คิดว่าต้องทำด้วยเหตุใดๆ
ทำเพราะเป็นสิ่งสมควรทำอย่างยิ่ง
ไม่มีความรักความชอบ
ไม่มีเหตุผลใดๆ

คนมากมายในองค์กรนี้ พยายามสร้างองค์กรสมรรถนะสูง High Performance Organization: HPO เคยรู้บ้างไหมว่า คำว่ว performance (n) แปลความได้ว่า การแสดงละคร,การกระทำ,การปฏิบัติ,การเดินเครื่อง,การดำเนินการ เห็นตัวแรกไหม การแสดงละคร น่าหัวเราะ(น่าหัวร่อ) ที่เราให้ความสำคัญกับสิีงนี้มาก และพยายามจะไปให้ถึง

สายงานผลิตไฟฟ้ามีนักคิดมากมาย ท่านไพศาล (ชฟบ.) คิด Model มากมาย หลาย Model มีคำว่า Square มันเป็นเรื่องที่เป็นเหลี่ยม ไม่กลม ดังนั้นมันจึงแยกเป็นส่วนๆ แม้แต่ Technical Road Map ของท่านเป็นเพียงศาสตร์เชิงเดี่ยว (Single Science) ไม่ได้บูรณาการ(Integrate) เข้ากับวิชาชีพทั้งหมด

คำว่า "วิชาชีพ" คือวิชา หมายถึงความรู้ บวกกับ ชีพ หมายถึงชีวิต
มืออาชีพ หรือ Professional มีความหมายหนึ่งคือ "ที่ทำเป็นอาชีพ" อยากถามท่าน ไฟศาล ว่าเขาทำมาทั้งชีวิตน่ะ เป็น Professional ได้ไหม
ฝากให้ท่านได้ทำการตลาดต่อไปนะครับ

หลายคนใน กฟผ. เข้าใจว่ความรู้าต้องเป็นความรู้ที่เป็นวิชาการ ลองไปดูข้อมูลนะครับ เรามีวิศวกร ประมาณ ๒,๕๐๐ คน หนึ่งในสิบ ของคน ๒๕,๐๐๐ คน (อันนี้ข้อมูลนานแล้วครับ) ปัจจุบันอาจมีเพียง หนึ่งต่อสิบห้า นะครับ ทีนี้ส่ิงที่คนแปดสิบห้าเปอร์เซ็นต์ทำ กับสิ่งที่ คน สิบห้าเปอร์เซ้นต์ทำ อะไรทำให้องค์กรอยู่รอดปลอดภัย ชนชั้นนำหรือกรรมกร ทำไมเราต้องแบ่งแยกล่ะครับ เราควรชื่นชมกันและกัน สร้างวัฒนธรรมใหม่ที่ดี รักษาวัฒนธรรมเก่าที่เป็นประโยชน์ รักองค์การ มุ่งงานเลิศ เทิดคุณธรรม ต้องได้รับการตีความ การตีความโดยคนรุ่นใหม่ คนรุ่นใหม่ที่จะเป็น กฟผ. สืบไป ผมพยายามทำให้ คน แปดสิบห้าเปอร์เซ็นต์นั้นได้มีที่เผยแพร่ งานเลิศ ของเขา สร้างความเต็มใจให้กับคนเล็กๆ ที่ไม่ได้หวัง ไม่ได้มี และไม่ได้เป็น อย่างที่คนในองค์กรกีดกัน 555

ต่อกันที่ High Performance Organization: HPO คำเขียนอย่างไรไม่สำคัญ สำคัญที่การตีความ ตีความอย่างไรนำชีวิตไปตรงนั้นแน่นอน สาย รวฟ. ตีความว่า เป็น Operational Excellence + Good Governance การตีความดั่งนี้นำมาซึ่งการปฏิบัติ การปฏิบัติที่นำโดยชนชั้นนำ และทำโดยชนชั้นทำ 555 แล้วผู้วางแผนคิดบ้างไหม ว่า คนอีก 85% คิดอะไรอยู่ และจะทำอะไรเพื่อสนอง ????????? เฮ้อ เหนื่อย ??????

ต่อวันอื่นนะครับ ผมรักทุกคนครับ

ตุ๊ดตู่ ร่วงโรย
อย่าลืมให้ความรักก่อนให้ความรู้นะครับ

เป็นเพราะเสื้อ หรือ เพราะเกียรติ

คำถามของผมต่อเรื่องนี้คือ คนไม่สุข องค์กรจะได้อะไร คนทำศักดิ์ศรีของตนทุ่มเทมากกว่าหน้าที่ แต่ไม่มีเกียรติที่จะให้จากใจองค์กร
ต้องเข้าใจว่าองค์กรคือพลวัตร เคลื่อนไหวตามผู้นำ ความเกื้อกูลคือสิ่งที่เยียวยาให้ องค์กร อยู่รอดและยั่งยืน อย่างไรก็ตาม ผมยังเชื่อในบุพการี และยืนยันโดยทุกท่านไปอ่านความในใจพื่ที่เกษียณแล้วในหนังสือสายชลสัมพันธ์ 54 ได้นะครับ

เรื่องนี้ต้องอ่านจากล่างมาบนนะครับ ผมไม่ได้จัดเรียงใหม่

RE: ค่าสมมนาคุณวิทยากร หลักสูตรสัมมนาการจัดการความรู้สำหรับผู้บริหารระดับ 10 ขึ้นไป รุ่นที่ 4/54Siriwatana Kengdham
To: Sakun Pitikraisorn; Samnao Jumpook; Seeroong Nuntivacharin; Phukphu Kaewkriengkrai; Surasak Supavititpatana; Srivan Vigayatipat; Kitti Tancharoen
Cc: Jitdee Praditngam


เรียน อิ่ง ซ้อเจ็ด
เรื่องราวนี้มีสามประเด็นด้วยกันซึ่งต้องแยกกันพิจารณา ดังนี้

ข้อแรก เป็นเรื่องขององค์กร
ผมมึความเห็นต่างคือเป็นภาระของ กฟผ. ที่จะทำอย่างนั้น แม้จะรู้ว่ามีข้อจำกัด หากเราเป็นเช่นนี้ เท่ากับยอมรับว่าไม่มีการส่งเสริมจากหน่วยงานแต่ เราต้องการส่งเสริมกันเอง โดยหน่วยงานไม่รับรู้
ความเห็น พอ-ฟ.
ซึ่ง ในการทำเสื่อนี้ พอ-ฟ. จะทำดังนี้ “โดยจะนำไปมอบให้ทุก คพร-ชฟx.เพื่อเชิญ ชฟx.เป็นผู้มอบและสวมให้ ในโอกาสที่เหมาะสม”
ความเห็นเพิ่มของผม
ดูเป็นการประชดประชันผู้บริหารมากเกินไป และไม่เป็นการให้เกียรติแก่ผู้รับวิทยากรของเรา
แนวความคิดที่อยู่เบื้องหลังความเห็น
สิ่งนี้คือเกียรติ เป็นสิ่งที่ภายนอกที่ผู้ให้อยู่ภายนอกตัวเรา เป็นสิ่งที่สังคมได้ให้คุณค่าและความหมาย เราไม่ควรให้ใคร ที่ไม่คิดจะมอบเกียรตินั้น ได้มอบสิ่งที่เราจัดหาให้กับใคร เราควรทำให้เขา(ผู้มอบ สังคม) ได้ตระหนักอย่างแท้จริงว่าเขาควรให้เกียรตินี้กับผู้ที่บำเพ็ญเพียรทำคุณงามความดีให้กับองค์กร การที่องค์กรจะตระหนักอย่างแท้จริงนั้นต้องเป็นการสร้างวัฒนธรรมแห่งการชื่นชมยินดีอย่างแท้จริง ไม่เช่นนั้นการมอบนั้นจะสร้างความริษยาที่เป็นชนวนแห่งความแตกแยก แก่งแย่ง ซึ่งฝังรากลึกในสังคมนี้มาเนิ่นนาน

ข้อที่สองเป็นเรื่องส่วนตัวของผม
ผมยังเห็นว่ามันกระทบกับอุดมการณ์ของผมที่ไม่ต้องการเบิกค่าสอน ด้วยเหตุผลที่ทำมาตั้งแต่ต้น "ตอบแทนบุณคุณหน่วยงาน ด้วยประสบการณ์ที่ผมมี" ไม่อยากให้เสียสิ่งที่ประสงค์ไป โปรดกรุณาอย่าโอนเงินให้ผมซึ่งไม่ต้องการ
ความเห็น พอ-ฟ.
ค่าตอบแทนวิทยากรดังไฟล์แนบนี้ กฟผ.จะโอนเข้าบัญชี ธ.กรุงไทยของทุกคน หลังจากนั้นจะมอบหมายให้คุณจิตรดี ขอรับโอนเงินจำนวนดังกล่าวจากทุกท่านอีกครั้งค่ะ หรือท่านใดสะดวกที่จะโอนได้เลย ขอความกรุณาประสานงานกับคุณจิตรดีด้วย จักขอบคุณยิ่งค่ะ
ความเห็นเพิ่มเติมของผม
ผมยังยืนยันแม้ในครั้งที่สอง(ทุติยัมปิ)และครั้งที่สาม(ตะติยัมปิ)ว่าโปรดกรุณาอย่าโอนเงินค่าสอนเข้าบัญชีผม ขอความกรุณาอย่างจริงจัง ผมไม่ต้องการรับอย่างแท้จริง
แนวความคิดที่อยู่เบื้องหลังความเห็น
สิ่งนี้คือศักดิ์ศรี ศักดิ์ศรีที่เราต้องทำเอง ทำโดยยืนหยัดอยู่บนอุดมคติ (ทางไปที่สมบูรณ์) ด้วยการปฏิบัติอุดมการณ์(การกระทำที่สมบูรณ์)ของเราหุ้ถึงพร้อมทั้งความคิดและการกระทำ การยืนหยัดบนเส้นทางที่ทำได้ลำบากเพราะสิ่งรบกวนทำให้เราต้อง ละทิ้ง ลาจาก อุดมคติและอุดมการณ์ ของเราบนเส้นทางที่บีบบังคับ มันเป็นทางเลือกและเราต้องเลือก เลือกที่จะเดินไป ด้วยความเชื่อมั่นในสิ่งที่เราทำเพื่อสร้างสิ่งที่สร้างได้ยากคือตัวตนของเรา เพื่อสนองต่อหัวใจที่เป็นนิรันดร์นี้ให้ยืนอยู่บนเวทีทุกเวทีได้อย่างมั่นใจ มั่นใจในสิ่งที่เราทุ่มเททำ

ข้อที่สามซึ่งเป็นข้อสุดท้ายเป็นเรื่องของผมและหน่วยงานของผมที่จะสนับสนุนกิจกรรมนี้
ผมจะยังคงหาเงินบริจาคด้วยวิธีอื่นให้ ในจำนวนเงินที่เคยสัญญาไว้คือ ๑๐,๐๐๐ บาท แต่คงต้องรอเวลาบ้าง
ความเห็น พอ-ฟ.
เงินบริจาคด้วยวิธีอื่นนั้น ก็ยังเท่ากับเรายอมรับว่าไม่มีการส่งเสริมจากหน่วยงานอยู่ดีรึเปล่าคะ
เท่าที่คุยกับ ช.อผภ-ภ. ทราบว่าจะอย่างไร รวฟ.ก็ไม่ให้ ช.อผภ-ภ.จึงคิดว่าจะหาทางออกที่คณะของ กฟผ. คือ คอร-กฟผ. ให้เห็นด้วยที่จะต้องจัดทำทั้งเสื้อสามารถให้วิทยากร และเสื้อรางวัล KM ให้ผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งการประชุม คอร.ครั้งหน้าคือ วันที่ 27 กย.54 แต่ถ้า คอร.ก็ยังไม่เห็นด้วย อิ่งก็จะหาทางจัดการและมอบให้ในนามของ พอ-ฟ.เองก็ได้ค่ะ และจะไม่รับงานสร้างวิทยากรให้ใครอีกแล้ว ถ้าจะให้สร้าง ก็ต้องมีเงื่อนไขกันหน่อย
ความเห็นเพิ่มเติมของผม
หน่วยงานผมไม่ได้มีผู้คนมากมายแต่เรามีกิจกรรมที่ทำให้สามารถวางแผนในการจัดหาเงินไว้ใช้ในกิจการต่างๆ ได้บ้าง โดยผมมีส่วนสำคัญในการผลักดัน สิ่งเหล่านั้นกระทำในนาม ชฟน. ผมขอเวลาในการนำเสนอเพื่อให้ ชฟน. ได้เห็นชอบซึ่งต้องการเวลาบ้าง แต่เข้าใจว่าท่านคงเห็นด้วยกับผมที่ทุ่มเทและพยายาม อุทิศตนให้กับการพัฒนา กฟผ. ของเรา คงมีเครดิตบ้างที่ท่านจะเห็นด้วยครับ
แนวความคิดที่อยู่เบื้องหลังความเห็น
สิ่งนี้คือความเกื้อกูล เป็นสิ่งที่ผสานภายในและภายนอก ทั้งงานและสังคมเข้าด้วยกัน เป็นความงดงามของความเกื้อกูลที่จะ สานต่อวัฒนธรรมและสร้างวัฒนธรรม ที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตของ กฟผ. ผู้เป็นบุพการี (คือผู้ให้ก่อน) ความเกื้อกูลเป็นผลจากความกรุณาปราณีจะมีใครบังคับก็หาไม่ ความเกื้อกูลสร้างตำนานได้นะครับ ตำนานที่จะเล่าขานกันไปเป็นรุ่นต่อรุ่น

คงมีคำและความอีกมากมายเหมือนที่เราบอกไว้ว่า สิ่งที่เราเขียนได้(Explicit) มีน้อยกว่าสิ่งที่เราไม่ได้เขียน(Tacit) ซึ่งต้องอาศัย การสนทนา ถ่ายทอด ซักถามและไตร่ตรองกันมากกว่าที่ตัวอักษรจะบรรยายได้

ด้วยจิตนอบน้อม

ตุ๊ดตู่ ร่าเริง

(ผมกำลังจะเปลี่ยนฉายา เป็นอย่างอื่น ตามพัฒนาการครับ “ร่าเริง” น่าจะเป็น “ร่วงโรย” จะสะท้อนความจริงมากกว่านะครับ)



________________________________________

เรียน พี่ศิริวัฒน์
เงินบริจาคด้วยวิธีอื่นนั้น ก็ยังเท่ากับเรายอมรับว่าไม่มีการส่งเสริมจากหน่วยงานอยู่ดีรึเปล่าคะ
เท่าที่คุยกับ ช.อผภ-ภ. ทราบว่าจะอย่างไร รวฟ.ก็ไม่ให้ ช.อผภ-ภ.จึงคิดว่าจะหาทางออกที่คณะของ กฟผ. คือ คอร-กฟผ. ให้เห็นด้วยที่จะต้องจัดทำทั้งเสื้อสามารถให้วิทยากร และเสื้อรางวัล KM ให้ผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งการประชุม คอร.ครั้งหน้าคือ วันที่ 27 กย.54 แต่ถ้า คอร.ก็ยังไม่เห็นด้วย อิ่งก็จะหาทางจัดการและมอบให้ในนามของ พอ-ฟ.เองก็ได้ค่ะ และจะไม่รับงานสร้างวิทยากรให้ใครอีกแล้ว ถ้าจะให้สร้าง ก็ต้องมีเงื่อนไขกันหน่อย

ศากุน

________________________________________
From: Siriwatana Kengdham
Sent: ศ. 2/9/2554 18:05
To: Sakun Pitikraisorn; Samnao Jumpook; Seeroong Nuntivacharin; Phukphu Kaewkriengkrai
Cc: Jitdee Praditngam
Subject: RE: ค่าสมมนาคุณวิทยากร หลักสูตรสัมมนาการจัดการความรู้สำหรับผู้บริหารระดับ 10 ขึ้นไป รุ่นที่ 4/54
เรียนทุกท่าน
ผมมึความเห็นต่างคือเป็นภาระของ กฟผ. ที่จะทำอย่างนั้น แม้จะรู้ว่ามีข้อจำกัด หากเราเป็นเช่นนี้ เท่ากับยอมรับว่าไม่มีการส่งเสริมจากหน่วยงานแต่ เราต้องการส่งเสริมกันเอง โดยหน่วยงานไม่รับรู้ นั้นเป็นประการแรก ประการต่อมา ผมยังเห็นว่ามันกระทบกับอุดมการณ์ของผมที่ไม่ต้องการเบิกค่าสอน ด้วยเหตุผลที่ทำมาตั้งแต่ต้น "ตอบแทนบุณคุณหน่วยงาน ด้วยประสบการณ์ที่ผมมี" ไม่อยากให้เสียสิ่งที่ประสงค์ไป โปรดกรุณาอย่าโอนเงินให้ผมซึ่งไม่ต้องการ ประการสุดท้ายผมจะยังคงหาเงินบริจาคด้วยวิธีอื่นให้ ในจำนวนเงินที่เคยสัญญาไว้คือ ๑๐,๐๐๐ บาท แต่คงต้องรอเวลาบ้าง
หวังว่าทุกท่านคงจะเข้าใจผม
ขอบคุณ
ด้วยจิตนอบน้อม
ตุ๊ดตู่ ร่าเริง

________________________________________
From: Sakun Pitikraisorn
Sent: พฤ. 1/9/2554 9:25
To: Samnao Jumpook; Siriwatana Kengdham; Seeroong Nuntivacharin; Phukphu Kaewkriengkrai
Cc: Jitdee Praditngam; Sakun Pitikraisorn
Subject: RE: ค่าสมมนาคุณวิทยากร หลักสูตรสัมมนาการจัดการความรู้สำหรับผู้บริหารระดับ 10 ขึ้นไป รุ่นที่ 4/54
เรียน ครูเพื่อศิษย์ทุกท่าน
ตอนนี้ มีคุณครู 4 ท่าน ร่วมบริจาคแล้ว คือ ครูภัคภู, ครูสำเณาว์, ครูสีรุ้ง และศากุน รวมเป็นเงิน 10,925 บาท
ค่าตอบแทนวิทยากรดังไฟล์แนบนี้ กฟผ.จะโอนเข้าบัญชี ธ.กรุงไทยของทุกคน หลังจากนั้นจะมอบหมายให้คุณจิตรดี ขอรับโอนเงินจำนวนดังกล่าวจากทุกท่านอีกครั้งค่ะ หรือท่านใดสะดวกที่จะโอนได้เลย ขอความกรุณาประสานงานกับคุณจิตรดีด้วย จักขอบคุณยิ่งค่ะ
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา ไม่ทราบว่า คุณครูตุ๊ดตู่ มีความเห็นหรือข้อเสนอแนะอย่างไร กรุณาตอบกลับด้วย จักขอบคุณยิ่งค่ะ
ศากุน
________________________________________
From: Samnao Jumpook
Sent: Thursday, September 01, 2011 9:10 AM
To: Sakun Pitikraisorn
Subject: RE: ค่าสมมนาคุณวิทยากร หลักสูตรสัมมนาการจัดการความรู้สำหรับผู้บริหารระดับ 10 ขึ้นไป รุ่นที่ 4/54

เรียน อิ่ง ซ้อเจ็ด


ขอเข้าร่วมจิตอาสาด้วยครับพอดีกลับจากสิริกิติ์เห็น mail เดี๋ยวเนี่ยครับผม


เณาว์ คนเมือง

________________________________________
From: Sakun Pitikraisorn
Sent: อ. 30/8/2554 14:10
To: Siriwatana Kengdham; Seeroong Nuntivacharin; Phukphu Kaewkriengkrai; Samnao Jumpook
Cc: Jitdee Praditngam; Sakun Pitikraisorn
Subject: FW: ค่าสมมนาคุณวิทยากร หลักสูตรสัมมนาการจัดการความรู้สำหรับผู้บริหารระดับ 10 ขึ้นไป รุ่นที่ 4/54
เรียน ครูเพื่อศิษย์ทุกท่าน
การสอนในรุ่นที่ผ่านมา ได้มอบหมายให้คุณจิตรดีดำเนินการเรื่องค่าตอบแทนวิทยากรด้วย ซึ่งปกติบางท่านไม่เคยเบิก เนื่องจากมีจิตอาสาและอุดมการณ์ที่จะมุ่งมั่นทำให้แก่องค์กร โดยกลุ่มงาน พอ-ฟ.มีความชื่นชมท่านเป็นอย่างยิ่ง
แต่สำหรับรุ่น 4 นี้ พอ-ฟ.ใคร่ขอความอนุเคราะห์จากท่าน ในการขอค่าตอบแทนที่ท่านจะได้รับนี้ ในการจัดทำเสื้อสามารถมอบให้แก่วิทยากร KM ที่ทำหน้าที่ของตนเองเป็นอย่างดี แต่ยังไม่ได้รับเสื้อ รวมจำนวน 32 ท่าน (ตรวจสอบเมื่อ 13 มค.54 ปัจจุบันน่าจะมีวิทยากรที่ควรจะได้รับเสื้อเพิ่มขึ้น)
เสื้อที่เคยทำราคารวมค่าปักเมื่อปี 2552 ตัวละ 350 บาท ปัจจุบันประมาณการไว้ไม่ควรเกินตัวละ 400 บาท จำนวน 32 ตัว รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 12800 บาท
ดังนั้น หากครูทุกท่านในรุ่นนี้ ยินดีบริจาคค่าตอบแทน ก็จะสามารถใช้ทำเสื้อได้ โดยจะนำไปมอบให้ทุก คพร-ชฟx.เพื่อเชิญ ชฟx.เป็นผู้มอบและสวมให้ ในโอกาสที่เหมาะสม เช่น งาน KM Forum ของ สาย ชฟx. เป็นต้น ซึ่งจะแจ้งให้ทุก คพร-ชฟx.ทราบด้วยว่าเสื้อเหล่านี้มีที่มาอย่างไร
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา หากท่านใดมีความเห็นหรือข้อเสนอแนะ กรุณาตอบกลับด้วย จักขอบคุณยิ่งค่ะ
ศากุน

-----Original Message-----
From: Jitdee Praditngam
Sent: Monday, August 29, 2011 2:41 PM
To: Sakun Pitikraisorn
Subject: ค่าสมมนาคุณวิทยากร

เรียน พอ-ฟ.
เพื่อทราบค่ะ

คนไม่สุข องค์กรไม่ทุกข์ HPO: คืออะไร

เราเริ่มต้นจาก Email ของผม

From: Toodtoo
Sent: ศ. 5/8/2554 15:02
To: Teedtee
Subject: ชีวิตที่งดงาม


วันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๕๔ เวลา ๑๔.๐๐น.
ติ๊ดตี่ น้องรัก
ผมเขียนข้อความเหล่านี้ขณะที่นั่งรถจาก สนก.กฟผ. ไปยัง เขื่อนสิริกิติ์ ท่ามกลางบรรยากาศของผู้คนหลากหลาย เรามีทั้งผู้ที่ยังเยาว์ และมากด้วยผู้อาวุโส การสนทนามีหลากหลาย ทั้งความหลังปัจจุบันและอนาคต
เรื่องของติ๊ดตี่่นั้น เป็นเรื่องของเกมสังคม มีผู้คนพยายามกระทำให้เธอได้เป็นอย่างที่ติ๊ดตี่ทำ โปรดระลึกเสมอว่าเมื่อถูกกระทำสัมผัสแรกคือการต่อต้านดิ้นรน และไม่สงบ เมื่อเราถูกกระทำโปรดสงบ นอบน้อมต่อบทเรียนข้างหน้า พระพุทธองค์ทรงสอนว่าไม่มีเหตุบังเอิญในโลก ดังนั้นสิ่งที่่มาอยู่ตรงหน้าขณะปัจจุบันนั้นเราได้เรียนรู้จากเหตุการณ์นั้น หรือกำลังปกป้องตน เมื่อเรารู้สึกว่าถูกกระทำ เป็นธรรมดาที่เราจะตอบโต้ด้วยการปกป้อง การปกป้องจะปิดกั้นการเรียนรู้ การปกป้องจะทำให้เรากลับไปค้นเรื่องเก่าๆ ของเราออกมาใช้งาน ปราศจากการเรียนรู้ขณะปกป้อง
เป็นธรรมดา ธรรมชาติของมนุษย์ที่มีความต้องการพื้นฐานอย่างน้อยสามประการ คือ ความรัก ความเข้าใจและการยอมรับ และมนุษย์จะได้รับทั้งสามประการเมื่อ รู้จักพอ มีความรักให้ และไม่คิดเป็นเอกในโลก ชีวิตในโลกเป็นของที่ต้องอดทนเมื่อยังไม่เข้าใจ และเมื่อเข้าใจแล้วไม่ต้องอดทน เราจะเข้าใจสรรพสิ่งจากความคิด ความรู้สึก และกายสัมผัส เมื่อความคิดเปิดปรารถนาจะเข้าใจไร้ความคิดต้าน คิดตัดสิน ไร้ความรู้สึก เห็นความคิดด้วยความคิด เมื่อความรู้สึกเปิดปรารถนาจะเข้าใจ ไร้ความรู้สึกไม่ยอมรับ ไม่คาดเดากายสัมผัสที่จะเกิดขึ้น รู้สึกด้วยความรู้สึก เมื่อกายสัมผัส ได้รับรู้โดยปราศจากความคิดและความรู้สึกเพียงสักแต่ว่า รับรู้กายสัมผัสด้วยกายสัมผัส ความเข้าใจจะประมวลรวมกันเป็นความรู้ยิ่ง สรรพสิ่งล้วนเป็นไปตามที่มันเป็น
หลักที่ทำให้ผมอยู่ในสังคมแปลกหน้าอย่างโดดเดี่ยวได้อย่างมีความสุขคือ ไม่ให้ความหมาย ไม่คิดต่อ ไม่กังวล อยู่กับปัจจุบันอย่างมีความสุข พอใจกับสิ่งที่เราอยากเป็น ต้องเป็น และผู้อื่นคาดหวังให้เราเป็น หลักที่ผมใช้มานานแล้วและได้แลกเปลี่ยนกับผู้อื่นคือ เห็นโลกตามจริง ทุกสิ่งธรรมดา งานพาชีวิต มุ่งมิตรมากมาย หลากหลายวิจารณ์ ซึ่งอาจขยายความหลักการได้ดังนี้
เห็นโลกตามจริง
เรามักมองสิ่งต่างๆผ่านตัวกรอง ตัวกรองที่เราสร้างจากประสบการณ์ของเรา ประสบการณ์ที่เจ็บปวดสร้างตัวกรองที่หวาดระแวง ประสบการณ์ที่ยินดีสร้างตัวกรองที่หลงระเริง เมื่อเราเรียนรู้จากประสบการณ์ไม่จำเป็นต้องเจ็บปวดหรือยินดี ควรจะเรียนรู้ด้วยสติและหาทางเข้าใจในสรรพสิ่ง เห็นโลก เรียนรู้โลกอย่างที่มันเป็น มีเรื่องเล่าถึงความเป็นพิเศษมากมายง่ายๆ เช่นการเดิน เรามักจะอัศจรรย์ในการเดินบนน้ำ บนก้อนเมฆ แต่ลืมไปว่าการเดินบนดินนั้นเป็นสิ่งอัศจรรย์อย่างยิ่ง เป็นสิ่งที่เราทำได้ แต่บางคนทำไม่ได้ เมื่อเรายังเดินบนดินได้จึงควรยินดี และเป็นความจริงที่เราทำได้ เราจึงควรอยู่กับปัจจุบันขณะที่ไม่ปรุงแต่งด้วยความคิดของเรา
ทุกสิ่งธรรมดา
สิ่งต่างๆ เป็นไปของมันอย่างนั้นเอง เพียงแต่เราไม่เข้าใจทั้งหมดและเผชิญมันด้วยความเข้าใจบางส่วน การแยกส่วนของเรา เราจึงไม่อาจเห็นความเป็นธรรมดาของสรรพสิ่งได้ พ่อตาและลูกเขยสองคนนั่งเรือไปด้วยกัน ลูกเขยใหญ่เป็น ผู้มากการศึกษา ส่วนลูกเขยเล็กเป็นชาวสวน ระหว่างทางไปในน้ำมีเป็ดว่ายน้ำมา พ่อตาถามว่าทำไมเป็ดถึงลอยน้ำได้ เขยใหญ่ตอบว่าเป็ดมีขนที่ชุ่มน้ำมันจึงลอยน้ำได้ เขยเล็กตอบว่าเป็นก็ต้องว่ายน้ำได้เป็นธรรมดาของเป็ดเอง สองฝั่งคลองมีต้นไผ่มากมาย พ่อตาถามว่าทำไมหน่อไม้จึงแทงทะลุดินได้ เขยใหญ่ตอบว่าเพราะมันมียอดแหลม เขยเล็กตอบว่าเป็นธรรมดาของหน่อไม้ ผ่านไปอีกระยะหนึ่งเห็นรูงูเป็นมันเลื่อม พ่อตาถามอีกว่าทำไมรูงูเป็นมันเลื่อม เขยใหญ่ตอบว่าเพราะงูเลื้อยเข้าออกถูไถไปมาจึงเป็นมันเลื่อม เขยเล็กว่ามันเป็นธรรมดาของรูงู พ่อตาหงุดหงิดมากเมื่ออยู่ตามลำพังจึงถามเขยเล็กว่าทำไมตอบว่าธรรมดาเสมอ เขยเล็กยกตัวอย่างว่าการลอยน้ำมะพร้าวไม่มีขนยังลอยน้ำได้ เห็ดยอดไม่แหลมก็ทะลุดินได้ และหัวล้านของพ่อไม่มีอะไรถูไปมาก็ยังเลื่อมเป็นมัน เรามักตีความให้ความหมายวิเคราะห์ (อย่างไม่ครบถ้วน) ดังนั้นเราควรเลิกตั้งคำถามและเข้าใจว่าเป็นธรรมดาเช่นนั้นเอง
งานพาชีวิต
เคยได้ยินคำนี้ไหม สิ้นกรรม คือตาย ดังนั้นเมื่อมีชีวิตอยู่เราก็ยังมีกรรม กรรมคือการกระทำนั่นเอง การกระทำสร้างงาน งานที่เป็นประโยชน์สร้างชีวิตที่มีประโยชน์ งานที่เป็นโทษสร้างทุกข์ภัยให้เช่นกัน ดังนั้น จึงควรพิจารณาเนืองๆ ถึงประโยชน์ในตน หากสิ่งที่เป็นประโยชน์มีในตนแล้วพึงรักษาไว้ให้คงมั่น หากสิ่งที่เป็นประโยชนไม่มีในตนโปรดขวนขวายหามาด้วยความตั้งใจมุ่งมั่น หากสิ่งที่เป็นโทษมีในตนพึงละเสียให้ได้ และสุดท้ายหากสิ่งที่เป็นโทษไม่มีในตนพึงระวังอย่างไปกล้ำกรายมัน เมื่องานเลี้ยงใจเริ่มต้นหล่อเลี้ยงใจตนจนมั่นคงแล้ว งานเลี้งกายคือการมีอาชีพที่เป็นประโยชน์ย่อมมาถึงได้ ชีวิตก็คือกายใจเมื่อมีงาน(กรรม)ที่เป็นประโยชน์พาไปจึงประสพประโยชน์เช่นนี้เอง
มุ่งมิตรมากมาย
มนุษย์เป็นสัตว์สังคม มีชีวิตอยู่ด้วยการพึ่งพา เรามักทะนงในความสำเร็จของเรา แล้วลืมว่าเราต้องพึ่งพาสิ่งต่างๆ ผู้คนต่างๆอีกมาก เช่นผมเมื่ออยู่ลำพังในหอพ้กต้องพึ่งตนเอง ซักผ้า รีดผ้า หาอาหารทานเอง แต่การพึ่งตนเองนั้นมีการพึ่งพาสิ่งอื่นผู้อื่นแฝงอยู่เช่นกัน ซักผ้าต้องพึ่งผงซักผ้า น้ำ ไฟ เครื่องซัก ฯลฯ สิ่งต่างๆ เหล่านั้นล้วนเกี่ยวของกับผู้คน ธรรมชาติแวดล้อม โยงใยเป็นสายโซ่ เรามักได้ยินในทางบริหารว่า ห่วงโซ่อุปทาน(Supply Chain) หรือ ห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ฝรั่งพึ่งมาเป็นความโยงใยและสร้างทฤษฎีในไม่กี่ศตวรรษที่ผ่านมา แต่โยงใยมหามิตร(ห่วงโซ่ : Chain)นี้ ๒๕๙๐ ปีที่แล้ว พระพุทธองค์ ทรงค้นพบ อิทับปัจยตา "เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี" ว่าโดยหลักการ ส่วนว่าโดยเนื้อหา "เพราะอวิ่ชา...จึงทำให้เกิด...ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ" หากเราเกี่ยวพันทุกสิ่งด้วยความเคารพ มีจิตนอบน้อม มิตรย่อมมากมาย กระแสพลังแห่งความนอบน้อม ละความเย่อหยิ่งทะนงตน (อหังการ์ มานะ ทิษฐิ) ไม่ลำเอียงเข้าข้างตน(อคติ) บำเพ็ญจนถึงที่สุด มหามิตรย่อมมาหาและศัตรูย่อมไปจากในที่สุด โปรดมุ่งมิตรที่เป็นประโยชน์ ทำประโยชน์ให้แก่กันและกัน
หลากหลายวิจารณ์
ความดีงาม ความเลวร้าย เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นให้ค่าและความหมาย(นิยาม) เพื่อให้สังคมสงบสุข แต่มากมายหลายครั้ง เราเอาสิ่งที่เป็นกติกา สิ่งสมมุมติเหล่านั้นมาทำร้ายทำลายกัน คนที่ยึดความดีงามทำร้ายคนที่แตกต่างกันด้วยความดีงาม คนที่ยึดความเลวร้ายทำร้ายคนที่แตกต่างด้วยความเลวร้าย ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต พระกรรมฐานกลางกรุงให้สติที่จะเผชิญกับ คำพูดไว้ว่า "ดีแสนดีมันก็ด่า ชั่วแสนชั่วมันก็ชม จะเอาอะไรกับปากมนุษย์" มนุษย์มิได้ทำร้ายกันด้วยคำพูดเท่านั้น กริยาท่าทางก็เช่นกันทำร้ายกันพระพุทธองค์จึงสอนศีลข้อแรกเป็นเจตนาละเว้นการทำร้ายร่างกายกัน ข้อสองเป็นการเว้นประทุษร้ายต่อทรัพย์ ข้อสามเป็นการไม่ทำร้ายของรักของกันและกัน ข้อสี่เป็นการไม่ทำร้ายกันด้วยวาจา ข้อห้าเป็นการไม่ทำร้ายตนเอง แต่การอยู่ในสังคมย่อมมีการวิจารณ์ต่างๆอยู่เนืองนิตย์ เราใช้เป็นข้อมูลนำเข้าเพื่อสำรวจตนเองได้ใช้เป็นข้อมูลเพื่อเรียนรู้เขาและสำคัญเรียนรู้ตนเอง ในโลกมีเรื่องราวมากมายอาจแยกเป็นสี่เรื่องแต่เรามักสนใจสามเรื่องแรกเท่านั้น เรื่องแรกคือเรื่องของกู มึงไม่เกี่ยว เรื่องที่สองคือเรื่องของมึง กูไม่ยุ่ง เรื่องที่สามเป็นเรื่องของมัน ทั้งมึงและกูไม่เกี่ยว ส่วนเรื่องที่สี่ที่สังคมควรสร้างคือ เรื่องของเรา เราทุกคนต้องใส่ใจประกอบกิจร่วมกันด้วยความเคารพกันและกัน
เมื่อเผชิญกับทุกข์ภัย ความเจริญในธรรมวัดกันที่ผล อาจารย์หมออมรา มลิลา บอกว่าใจที่อลหม่านต้องได้รับการฝึกให้สงบนิ่ง เป็น อจลศรัทธา(อะจะละสัดทา) ไม่หวั่นไหวเป็นผลที่แสดงภูมิธรรม การสร้างความสงบของผมมาจากการสวดมนต์ด้วยความมั่นใจในพุทธคาถา(ศรัทธา) ใช้ความตั้งใจพยายามศึกษาฝึกฝนอย่างต่อเนื่องของความมีประโยชน์ในการมีจิตสงบ(วิริยะ) มีคาถาประจำเอาไว้อยู่กับกายด้วยการภาวนา เพื่อสร้างความระลึกรู้(สติ) บางครั้งก็หาหนังสือมาอ่าน เพื่อสร้างความต่อเนื่องในความสนใจ(สมาธิ) พยายามไม่สงสัยต่อสรรพสิ่งด้วยการเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า(ปัญญา)
มนุษย์เกิดมามีกายที่ต้องอาศัยใจ ใจเป็นใหญ่เป็นประธาน ทุกสิ่งทุกอย่างสำเร็จลงแล้วด้วยใจ ใจสร้างจากความรัก ความรักสร้างจากความเมตตา โปรดเมตตาต่อสรรพสิ่งที่เกิดขึ้น
ขอให้เจริญด้วยธรรมสี่ มีอายุยืนยาว มีวรรณะที่ผ่องใส มีความสุขสงบในธรรม และมีพลังที่จะพาตนข้ามพ้นทุกข์ภัย
(จัตตาโร ธัมมา วัฒทันติ อายุ วัณโณ สุขขัง พลัง)
เขียนมายืดยาวไม่รู้ว่าตรงกับที่ติ๊ดตี่ต้องการรู้หรือไม่ แต่เขียนด้วยความปรารถนาดี จากประสบการณ์ของคนอายุย่าง ๖๐ ปี หวังว่าคงจะได้รับฟังแลกเปลี่ยนกับติ๊ดตี่อีก ขอบคุณที่สละเวลาอ่าน
ผมเขียนถึงติ๊ดตี่จบที่เขื่อนสิริกิติ์ในวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๔ เวลา ๑๕.๐๐น.
ด้วยจิตนอบน้อม
ตุ๊ดตู่
--------------------------------------------------------------------------------

Subject: ชีวิตที่งดงาม
From: Teedtee
Sent: พ. 10/8/2554 8:24
RE: ชีวิตที่งดงาม teedtee
To: Toodtoo
Cc: toi

เรียน พี่ชายที่แสนดี
น้อมรับด้วยความขอบพระคุณอย่างสูง ในความโดดเดี่ยวก็ยังมีความโชคดีคือมี "พี่ชาย" ที่เข้าใจน้องสาวคนนี้ สังคมใน egat มีแต่คำว่า "ผลประโยชน์" ทั้งนั้น ตั้งแต่ตี่เข้ามาจนถึงปัจจุบัน ถึงจะอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว ประสพการณ์ที่ผ่านมา บวกกับการได้พบกราบไหว้พ่อแม่ครูบาอาจารย์ ทำให้ตี่แกร่งขึ้น ที่จะสู้กับสังคมจอมปลอมแต่ก็มีบางครั้งที่หวั่นไหวบ้าง วันนี้ตี่เข้ามาอบรมที่ส่วนกลางเลยถือโอกาสมานั่งเขียนเล่าให้พี่ฟัง และพอเข้ามาก็เลยทราบว่า ทาง อคภ.ผ่านเรื่องให้แล้ว หลังจากที่ต้องให้หัวหน้ากอง "พี่เอก" เข้าไปบอกถึงความต้องการจะรับเอง รายละเอียดจะไปเล่าให้ฟังค่ะ แต่ตี่กลับรู้สึกเฉยๆ ไม่ยินดียินร้าย อยากให้พอเรื่องไปถึง "ชฟน" แล้วถูกดึงเอาไว้ไม่ให้ย้ายด้วยซ้ำ เพราะเห็นว่าเรามีประโยชน์อยู่ อยากให้เรียกพบ จะได้บอกว่า "อิทธพล+ผลประโยชน์" มันทำให้คนเห็นแก่ตัว+พวกพ้อง อีกทั้งการอยู่ในตำแหน่งยาวนาน ร่วม 10ปี ของหัวหน้ากองบางคนก็ไม่ได้เกิดการพัฒนาหรือการสร้างสรรใดใด EGAT จะเจริญก้าวหน้ากว่านี้ หากทุกอย่างเล่นตามเกมส์ ความทดถอยของคน egat บางคนก็มาจากความเสื่อมถอยของระบบ ที่ไม่เป็นระบบนั่นเอง กราบขอโทษด้วยที่ตอบช้าเพราะ4-5 วันที่ผ่านมาพาแม่ตะรอนทัวร์ อีสาน+ทำบุญวันเกิดแม่ ทำให้ไม่ได้ไปทัวร์ สายชลสัมพันธ์ แต่ถึงอยู่ก็ไม่เคยรู้เรื่องนอกจากต้องถามเอง เมื่อกี้พี่เอกเพิ่งมาบอกว่า ฝ่าย"อคภ" อยากคุยด้วย ทั้งที่พี่เอกบอกว่ารับแล้ว มันทำให้ตี่ไม่อยากอยู่ถ้าหากจะทำให้ใครต้องลำบากใจ
คิดถึง+อยากคุยด้วยมากค่ะ
ติ๊ดตี่
หมายเหตุ ขออนุญาตพี่ส่งให้พี่ชายที่แสนดีของสายน้ำอีกคนได้อ่านด้วยนะคะ อย่างน้อยในความโดดเดียวก็มี"พี่ชายตั้ง 2 คน"นะจะบอกให้

--------------------------------------------------------------------------------

หลังจากนั้น ติ๊ดตี่ ก็มีจดหมาย ถึง ผู้บังคับบัญชา

From: Teedtee
Sent: อ. 16/8/2554 13:42
To: Tan
Cc: Toodtoo; Toi
Subject: ขอเรียนปรึกษา

เรียน Tan(Tan=ท่าน) ที่เคารพอย่างสูง
ตี่ขออนุญาตเรียนปรึกษาฝ่ายทาง e-mail ด้วยไม่มีโอกาสไปเรียนปรึกษาด้วยตนเอง กราบขออภัยล่วงหน้านะคะ เรื่องมีอยู่ว่า ที่ตี่ขออนุญาตย้ายกลับมาทำงานที่ อxy. ด้วยวัตถุประสงค์ของการต้องการมาทำงานเพื่อประโยชน์ส่วนรวม หากว่าตี่อยู่ อxx. แล้วทำงานไม่ได้ เพราะคนที่นั่นไม่รับตี่ ทั้งที่ตี่อยากอยู่และทำงานให้ อxx.อย่างที่เรียนให้ทราบ ก่อนทำเรื่องย้ายได้คุย กับทั้ง พี่ อช. และพี่ สภ. แล้วจึงทำเรื่องย้าย เรื่องเข้าพิจารณา คบ.อxy.เมื่อเดือนที่แล้วครั้งแรก(กค.54) แต่พี่ อช. ไม่ได้เข้า(พาแม่ไปหาหมอ) ก็เลยไม่ผ่าน คบ.อxy.ผู้แทน 2คน(ป้าt ระดับ 10เกษียณ ตค.นี้ กับระดับ 9)ถูกที่ประชุมตีกระเจิงทั้งที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานในกอง อช. จบลงด้วยเดือนหน้า กอง อช.ต้องมารับรองเอง พี่ อช. ก็มาบอกตี่ว่า ให้รออีกเดือนตอนนั้นใจตี่แกว่งแล้วรู้สึกเหมือนว่า ทำไมคนต้องการมาทำงานให้กับเจอกับการตีกัน กลับมาทำไมมีปัญหาอะไรรึเปล่า ซึ่งจริงแล้วก็เป็นเหตุผลเรื่องงานเท่านั้น ตี่ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับใคร ถ้าจะมีก็เพียงความเห็นแก่ตัวของคนระดับสูงที่ไม่รู้จักคำว่าเสียสละเท่านั้น และความความอึดอัดที่เหมือนเป็นส่วนเกินของ ควผฝ.มากกว่า (เพราะตี่เคยเรียนกับ 11 แต่11 บอกว่า ผมคุยกับพวกเขา เขาบอกว่า พวกเขาไม่มีปัญหา (ก็เวลามีงานอะไรก็ไปด้วยกัน QC/KM ชฟx. รวx.) ตี่ก็ต้องสรุปว่าตี่เป็นคนมีปัญหาเอง(ไม่เป็นไร)
พอมาเดือนนี้ (สิงหา) พี่ อช" รับรองใน คบ. แต่ที่ประชุม คบ.มีข้อแม้มาว่า ตี่ต้องเข้าไปคุยกับฝ่าย คือ พี่ พศ.(เรื่องคือเข้าไปรับนโยบายเพราะถูกมองว่าเป็นคนมีปัญหา (ทั้งที่ตอนไปจาก อxy.ก็เพียงเพื่อการหลีกทางให้ ระดับ 7 ได้ขึ้นเป็น หัวหน้าแผนกเท่านั้น กลับมาก็รู้ว่าที่นี่ต้องการคนที่จับงานด้านนี้มาทำงานให้ ไม่ได้มาด้วยเหตุผลของตำแหน่งอะไร(ของการปรับโครงสร้างเลย) รู้ว่าพี่ อช. ต้องการคนช่วย และก็รู้ว่ามาตรการนี้ไม่ได้มาจากพี่ อช. ด้วย (ตอนนี้ตี่ยังไม่ได้เข้าไปพบพี่ พศ.)
ในฐานะที่ฝ่ายฟันฝ่าอุปสรรคมามากมาย ถ้าหากตี่จะขอฝ่าย ขอกลับไปฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆที่ อxx. ตามเดิม ฝ่ายจะยังให้ตี่กลับไหมค่ะ ยังจะรับลูกคนนี้หรือไม่ค่ะ
ตั้งแต่เดือนที่แล้ว ที่ทางนี้(อxy.)ดึงเรื่อง (ทั้งที่คุยกับหัวหน้ากองแล้ว) ตี่ไม่ได้โกรธใครทั้งนั้นแต่ไม่เข้าใจ+เจ็บปวดมากกว่า ที่เจตนาดีของเรา มองคน อxy.อย่างดีแต่มีบางคนกลับคิดกับเราไม่ดี ยังมีหลายที่ให้เลือก แต่ตี่ก็ยังเลือกกลับมาที่นี่ แต่คนที่ไม่เกี่ยวกับงานไม่ได้ช่วยพี่ อช. ทำงาน กลับมาลิขิตแทนได้ ตี่ได้ปรึกษาทั้ง พี่ต้อย ช.อxz.-ป และพี่ตุ๊ดตู๋(วก11-ชฟx.)มาโดยตลอด
อย่างที่ตี่เคยเรียน ฝ่าย ตี่เดินหน้าแล้วไม่อยากถอยหลัง แต่ตี่ก็ต้องถอยหลัง ตอนที่ตี่จะย้ายไป อxx.และฝ่ายถามตี่ ว่าอยากมาที่นี่เพราะอะไร ตี่บอกว่า เพราะครูบาอาจารย์ ตอนนี้ ตี่ก็ยังยืนยันว่าตี่อยากอยู่ที่อีสาน เพราะพ่อแม่ครูบาอาจารย์ วันนี้ตี่ได้พบ คุณสล งศ ลูกน้องเก่าของฝ่าย (อยู่ อxy.) เขาบอกว่าเขาก็เป็นคนมีปัญหาที่นี่เหมือนกันแล้วย้ายปล่อย เขาบอกตี่ว่าทุกอย่างคือตัวเราเองเท่านั้น ว่าต้องการอะไร ตี่ไม่ต้องการเป็นตัวปัญหาให้ใคร แต่ปัญหามักจะมาอยู่กับคนที่กล้าคิด กล้าพูด กล้าทำ เสมอ
ณ เวลานี้ ตี่ดูแล้วว่าอนาคตตี่ใน กฟผ. คงไม่รุ่งเรือง และคงอยู่ที่ ระดับ 8 เต็มขั้นแน่นอน (เพราะกว่าจะได้แต่ละระดับมา ก็คอยจนไม่มีตัวแล้ว ถึงบุญหล่นทับ เรื่องงานก็ยังต้องออกไปหางานขอเป็นผู้ตรวจประเมิน SEPA รวx.เอง) ไม่ตัดพ้อต่อว่า แต่เข้าใจว่าตัวเองต้องการอะไร ปีหน้าตี่ก็จะออกแล้ว เพราะสำหรับตี่ ตอนนี้ไฟฟ้าไม่ได้น่าอยู่เหมือนสมัยตี่เข้ามาใหม่ๆ ทุกวันนี้มีแต่ผลประโยชน์ เพื่อตัวพวกพ้องเท่านั้น ฯลฯ
สรุป ก็คือ ตี่ขอกลับไปทำงานที่ อฟอ.โดยยังมีพ่อคือฝ่ายเป็นร่มโพธ์ร่มไทรที่คุ้มลูกคนนี้ได้ไหมคะ อีกอย่างจากที่พาแม่ไป "อีสาน" ครั้งแรกนี้ แม่พอจะรับได้กับความเงียบสงบ+ความเป็นอยู่ (พาไปดูบ้านเอื้อฯที่ซื้อไว้) สักวันคงทำให้แม่ยอมมาอยู่ หรือไปอยู่เชียงใหม่ ตี่ยังไม่ได้กลับไปเขื่อน กราบขออภัยเป็นอย่างสูงที่ต้องเมล์หา อยากไปพบฝ่ายด้วยตนเอง แต่ถามพี่แดงบอกว่าอาทิตย์หน้า ฝ่ายก็ไปประชุมสายรอง ที่แม่เมาะ (ไม่มีโอกาสเจอกัน) หากฝ่ายไม่ขัดข้อง ตี่ขออนุญาตโทร.หานะคะ(เพื่อชี้แจงรายละเอียด)
ด้วยความเคารพอย่างสูง
ติ๊ดตี่

วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2554

ประวัติ : ตำนานแห่งการพยายาม

อาจมีหลาสยครั้งที่คนเราได้ฟังเรื่องราวต่างๆ มากมาย แต่มีบางเรื่องราวที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับเราได้ ผมกับประวัติพบกันโดยโชคชะตาบนรถไฟ สิ่งที่ประวัติเล่าให้ฟังสร้างแรงบันดาลใจให้ได้หลายแง่มุม แต่ทุกแง่มุมอาจสรุปได้ด้วยคำว่า : ตำนานแห่งการพยายาม ทุกเรื่องราวความสำเร์จมาจากความพยายามทั้งสิ้น โชคชะตาเป็นเพียงส่วนประกอบเท่านั้นเอง ส่วนประกอบที่ทำให้เรื่องที่เกิดขึ้นสมบูรณ์ ทุกการเปลี่ยนผ่านมาด้วยการสอบ ทดสอบ ฝ่าฟัน และแข่งขัน เมื่อต้องทดสอบ ประวัติ ลืมสรรพสิ่งมุ่งจริงกับสิ่งที่จะถูกทดสอบ ทุ่มเท นั่นคือ ตำนานแห่งความพยายาม
ผมคิดเสมอว่า เราเรียนรู้ได้มากมายจากประสบการณ์ของเรา และเรียนลัดได้จากประสบการณ์ของเขา สำคัญที่ว่าเราเรียนรู้อะไร สิ่งนั้นสร้างแรงบันดาลใจให้เราได้ก้าวล่วงข้อจำกัดที่บีบคั้นเราได้อย่างไร เมื่อก้าวล่วงได้ความคิดสร้างสรรค์จะนำทางเราต่อไป
ผมฟังประวัติเล่าเรื่องราวของเขา หลายด้านทั้งในด้านการงาน การอยู่อาศัย ชีวิตส่วนตัว และเรื่องราวอีกมากมาย แต่จุดเริ่มต้นเราคุยกันบนรถไฟ ขณะที่เดินทางจาก กรุงเทพไปยังนครลำปางด้วยกัน เขามาอบรมแต่ผมทำงานที่กรุงเทพและกำลังจะกลับบ้าน การสนทนาเริ่มจากหัวข้อวิชาที่เขามาอบรม VM Ware ตัวใหม่ที่เป็น OS ในตัวของมันเอง อบรมโดยพนักงานของเราเอง เขาเล่าถึงความสามารถมากมายของ VM Ware ที่จะนำไปประยุกต์ใช้งานอย่างสนุกสนาน ผมฟังอย่างเพริดเพลินและกระหายใคร่อยากศึกษาบ้าง เมื่อสนทนากันไปประวัติบอกว่าที่จริงเขาจะมาอบรมรุ่นสอง แต่ที่เลื่อนมาเพราะรุ่นสองตรงกับที่ผมขอตัวเขามาช่วยงานด้าน IT ในงานแสดงผลงานกิจกรรมพัฒนาคุณภาพงาน ผมขอบคุณเขา เราเพริดเพลินกับการแลกเปลี่ยนทัศนะกันและกัน ผมจับความได้ว่าเขาออกจากบ้านเกิดตั้งแต่อายุสิบห้า ไม่แน่ใจว่าเขาเป็นคนเชียงรายหรือคนพะเยา หลังจากนั้นเขามาอยู่ที่ลำปาง เรียนจบ ปวช. สอบเข้าทำงานที่ โรงพยาบาลลำปางทำงานตั้งแต่อายุ 18 เมื่อจบ ปวส. เพื่อนชวนมาสอบเข้า กฟผ. เขาก็สอบได้อีก เขาเป็นนักเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ทำงานเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ เมื่อมาเป็นวิทยากร KM ของ กฟผ. เขาบอกว่าเริ่มต่อไม่ติดกับงานที่สภาพไม่เหมือนกัน KM เป็นเหมือน Soft Side และการเขียนโปรแกรม เป็นเหมือน Hard Side แต่เขาก็ยังรักงานทั้งสองด้าน ผมเห็นว่าประวัติสามารถเติมเต็มหลายประการให้กับชีวิตด้วยความพยายามของเขา
มีเคล็ดลับบางประการที่เขาเสนอแนะให้กับผม ประวัติมีวิธีเสนอแนะที่แยบยลมาก เนียนจนผมไม่รู้สึกว่ากำลังได้รับการเสนอแนะ การนำเสนอผลงานกิจกรรมพัฒนาคุณภาพงานบนเวทีจากประสบการณ์ของเขามีจุดสนใจหลายประการในด้านเทคนิคการนำเสนอ เช่น ตัวอักษรซึ่งจะเปลี่ยนไป(เพี้ยน)เมื่อใช้โปรแกรมนำเสนอคนละ Version ต้องมีการจัดการจึงจะก้าวล่วงได้ การควบคุมเครื่องนำเสนอโดยเจ้าหน้าที่ IT ก็คือเขานั้นแหละ เขาจะขอ Static IP ให้เครื่องนำเสนอ และเปิด Remote Admin เพื่อให้เขาควบคุมเครื่องนำเสนอได้ และสามารถช่วยผู้นำเสนอให้เปิดปิดโปรแกรมนำเสนอได้ขณะที่ผู้นำเสนอยังไม่ได้ไปที่เครื่อง คงยังมีอีกหลายประการจากประสบการณ์ของเขาที่เป็นประโยชน์และสร้างความสง่างามให้กับการนำเสนอได้ ผมภูมิใจในสิ่งที่เขาทำและสิ่งที่ผมจะได้นำไปปรับใช้ต่อไป
ขอบคุณโชคชะตาที่นำเขามาให้กับประเทศชาตินี้
ด้วยจิตนอบน้อม