วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2554

คนไม่สุข องค์กรไม่ทุกข์ HPO: คืออะไร

เราเริ่มต้นจาก Email ของผม

From: Toodtoo
Sent: ศ. 5/8/2554 15:02
To: Teedtee
Subject: ชีวิตที่งดงาม


วันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๕๔ เวลา ๑๔.๐๐น.
ติ๊ดตี่ น้องรัก
ผมเขียนข้อความเหล่านี้ขณะที่นั่งรถจาก สนก.กฟผ. ไปยัง เขื่อนสิริกิติ์ ท่ามกลางบรรยากาศของผู้คนหลากหลาย เรามีทั้งผู้ที่ยังเยาว์ และมากด้วยผู้อาวุโส การสนทนามีหลากหลาย ทั้งความหลังปัจจุบันและอนาคต
เรื่องของติ๊ดตี่่นั้น เป็นเรื่องของเกมสังคม มีผู้คนพยายามกระทำให้เธอได้เป็นอย่างที่ติ๊ดตี่ทำ โปรดระลึกเสมอว่าเมื่อถูกกระทำสัมผัสแรกคือการต่อต้านดิ้นรน และไม่สงบ เมื่อเราถูกกระทำโปรดสงบ นอบน้อมต่อบทเรียนข้างหน้า พระพุทธองค์ทรงสอนว่าไม่มีเหตุบังเอิญในโลก ดังนั้นสิ่งที่่มาอยู่ตรงหน้าขณะปัจจุบันนั้นเราได้เรียนรู้จากเหตุการณ์นั้น หรือกำลังปกป้องตน เมื่อเรารู้สึกว่าถูกกระทำ เป็นธรรมดาที่เราจะตอบโต้ด้วยการปกป้อง การปกป้องจะปิดกั้นการเรียนรู้ การปกป้องจะทำให้เรากลับไปค้นเรื่องเก่าๆ ของเราออกมาใช้งาน ปราศจากการเรียนรู้ขณะปกป้อง
เป็นธรรมดา ธรรมชาติของมนุษย์ที่มีความต้องการพื้นฐานอย่างน้อยสามประการ คือ ความรัก ความเข้าใจและการยอมรับ และมนุษย์จะได้รับทั้งสามประการเมื่อ รู้จักพอ มีความรักให้ และไม่คิดเป็นเอกในโลก ชีวิตในโลกเป็นของที่ต้องอดทนเมื่อยังไม่เข้าใจ และเมื่อเข้าใจแล้วไม่ต้องอดทน เราจะเข้าใจสรรพสิ่งจากความคิด ความรู้สึก และกายสัมผัส เมื่อความคิดเปิดปรารถนาจะเข้าใจไร้ความคิดต้าน คิดตัดสิน ไร้ความรู้สึก เห็นความคิดด้วยความคิด เมื่อความรู้สึกเปิดปรารถนาจะเข้าใจ ไร้ความรู้สึกไม่ยอมรับ ไม่คาดเดากายสัมผัสที่จะเกิดขึ้น รู้สึกด้วยความรู้สึก เมื่อกายสัมผัส ได้รับรู้โดยปราศจากความคิดและความรู้สึกเพียงสักแต่ว่า รับรู้กายสัมผัสด้วยกายสัมผัส ความเข้าใจจะประมวลรวมกันเป็นความรู้ยิ่ง สรรพสิ่งล้วนเป็นไปตามที่มันเป็น
หลักที่ทำให้ผมอยู่ในสังคมแปลกหน้าอย่างโดดเดี่ยวได้อย่างมีความสุขคือ ไม่ให้ความหมาย ไม่คิดต่อ ไม่กังวล อยู่กับปัจจุบันอย่างมีความสุข พอใจกับสิ่งที่เราอยากเป็น ต้องเป็น และผู้อื่นคาดหวังให้เราเป็น หลักที่ผมใช้มานานแล้วและได้แลกเปลี่ยนกับผู้อื่นคือ เห็นโลกตามจริง ทุกสิ่งธรรมดา งานพาชีวิต มุ่งมิตรมากมาย หลากหลายวิจารณ์ ซึ่งอาจขยายความหลักการได้ดังนี้
เห็นโลกตามจริง
เรามักมองสิ่งต่างๆผ่านตัวกรอง ตัวกรองที่เราสร้างจากประสบการณ์ของเรา ประสบการณ์ที่เจ็บปวดสร้างตัวกรองที่หวาดระแวง ประสบการณ์ที่ยินดีสร้างตัวกรองที่หลงระเริง เมื่อเราเรียนรู้จากประสบการณ์ไม่จำเป็นต้องเจ็บปวดหรือยินดี ควรจะเรียนรู้ด้วยสติและหาทางเข้าใจในสรรพสิ่ง เห็นโลก เรียนรู้โลกอย่างที่มันเป็น มีเรื่องเล่าถึงความเป็นพิเศษมากมายง่ายๆ เช่นการเดิน เรามักจะอัศจรรย์ในการเดินบนน้ำ บนก้อนเมฆ แต่ลืมไปว่าการเดินบนดินนั้นเป็นสิ่งอัศจรรย์อย่างยิ่ง เป็นสิ่งที่เราทำได้ แต่บางคนทำไม่ได้ เมื่อเรายังเดินบนดินได้จึงควรยินดี และเป็นความจริงที่เราทำได้ เราจึงควรอยู่กับปัจจุบันขณะที่ไม่ปรุงแต่งด้วยความคิดของเรา
ทุกสิ่งธรรมดา
สิ่งต่างๆ เป็นไปของมันอย่างนั้นเอง เพียงแต่เราไม่เข้าใจทั้งหมดและเผชิญมันด้วยความเข้าใจบางส่วน การแยกส่วนของเรา เราจึงไม่อาจเห็นความเป็นธรรมดาของสรรพสิ่งได้ พ่อตาและลูกเขยสองคนนั่งเรือไปด้วยกัน ลูกเขยใหญ่เป็น ผู้มากการศึกษา ส่วนลูกเขยเล็กเป็นชาวสวน ระหว่างทางไปในน้ำมีเป็ดว่ายน้ำมา พ่อตาถามว่าทำไมเป็ดถึงลอยน้ำได้ เขยใหญ่ตอบว่าเป็ดมีขนที่ชุ่มน้ำมันจึงลอยน้ำได้ เขยเล็กตอบว่าเป็นก็ต้องว่ายน้ำได้เป็นธรรมดาของเป็ดเอง สองฝั่งคลองมีต้นไผ่มากมาย พ่อตาถามว่าทำไมหน่อไม้จึงแทงทะลุดินได้ เขยใหญ่ตอบว่าเพราะมันมียอดแหลม เขยเล็กตอบว่าเป็นธรรมดาของหน่อไม้ ผ่านไปอีกระยะหนึ่งเห็นรูงูเป็นมันเลื่อม พ่อตาถามอีกว่าทำไมรูงูเป็นมันเลื่อม เขยใหญ่ตอบว่าเพราะงูเลื้อยเข้าออกถูไถไปมาจึงเป็นมันเลื่อม เขยเล็กว่ามันเป็นธรรมดาของรูงู พ่อตาหงุดหงิดมากเมื่ออยู่ตามลำพังจึงถามเขยเล็กว่าทำไมตอบว่าธรรมดาเสมอ เขยเล็กยกตัวอย่างว่าการลอยน้ำมะพร้าวไม่มีขนยังลอยน้ำได้ เห็ดยอดไม่แหลมก็ทะลุดินได้ และหัวล้านของพ่อไม่มีอะไรถูไปมาก็ยังเลื่อมเป็นมัน เรามักตีความให้ความหมายวิเคราะห์ (อย่างไม่ครบถ้วน) ดังนั้นเราควรเลิกตั้งคำถามและเข้าใจว่าเป็นธรรมดาเช่นนั้นเอง
งานพาชีวิต
เคยได้ยินคำนี้ไหม สิ้นกรรม คือตาย ดังนั้นเมื่อมีชีวิตอยู่เราก็ยังมีกรรม กรรมคือการกระทำนั่นเอง การกระทำสร้างงาน งานที่เป็นประโยชน์สร้างชีวิตที่มีประโยชน์ งานที่เป็นโทษสร้างทุกข์ภัยให้เช่นกัน ดังนั้น จึงควรพิจารณาเนืองๆ ถึงประโยชน์ในตน หากสิ่งที่เป็นประโยชน์มีในตนแล้วพึงรักษาไว้ให้คงมั่น หากสิ่งที่เป็นประโยชนไม่มีในตนโปรดขวนขวายหามาด้วยความตั้งใจมุ่งมั่น หากสิ่งที่เป็นโทษมีในตนพึงละเสียให้ได้ และสุดท้ายหากสิ่งที่เป็นโทษไม่มีในตนพึงระวังอย่างไปกล้ำกรายมัน เมื่องานเลี้ยงใจเริ่มต้นหล่อเลี้ยงใจตนจนมั่นคงแล้ว งานเลี้งกายคือการมีอาชีพที่เป็นประโยชน์ย่อมมาถึงได้ ชีวิตก็คือกายใจเมื่อมีงาน(กรรม)ที่เป็นประโยชน์พาไปจึงประสพประโยชน์เช่นนี้เอง
มุ่งมิตรมากมาย
มนุษย์เป็นสัตว์สังคม มีชีวิตอยู่ด้วยการพึ่งพา เรามักทะนงในความสำเร็จของเรา แล้วลืมว่าเราต้องพึ่งพาสิ่งต่างๆ ผู้คนต่างๆอีกมาก เช่นผมเมื่ออยู่ลำพังในหอพ้กต้องพึ่งตนเอง ซักผ้า รีดผ้า หาอาหารทานเอง แต่การพึ่งตนเองนั้นมีการพึ่งพาสิ่งอื่นผู้อื่นแฝงอยู่เช่นกัน ซักผ้าต้องพึ่งผงซักผ้า น้ำ ไฟ เครื่องซัก ฯลฯ สิ่งต่างๆ เหล่านั้นล้วนเกี่ยวของกับผู้คน ธรรมชาติแวดล้อม โยงใยเป็นสายโซ่ เรามักได้ยินในทางบริหารว่า ห่วงโซ่อุปทาน(Supply Chain) หรือ ห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ฝรั่งพึ่งมาเป็นความโยงใยและสร้างทฤษฎีในไม่กี่ศตวรรษที่ผ่านมา แต่โยงใยมหามิตร(ห่วงโซ่ : Chain)นี้ ๒๕๙๐ ปีที่แล้ว พระพุทธองค์ ทรงค้นพบ อิทับปัจยตา "เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี" ว่าโดยหลักการ ส่วนว่าโดยเนื้อหา "เพราะอวิ่ชา...จึงทำให้เกิด...ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ" หากเราเกี่ยวพันทุกสิ่งด้วยความเคารพ มีจิตนอบน้อม มิตรย่อมมากมาย กระแสพลังแห่งความนอบน้อม ละความเย่อหยิ่งทะนงตน (อหังการ์ มานะ ทิษฐิ) ไม่ลำเอียงเข้าข้างตน(อคติ) บำเพ็ญจนถึงที่สุด มหามิตรย่อมมาหาและศัตรูย่อมไปจากในที่สุด โปรดมุ่งมิตรที่เป็นประโยชน์ ทำประโยชน์ให้แก่กันและกัน
หลากหลายวิจารณ์
ความดีงาม ความเลวร้าย เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นให้ค่าและความหมาย(นิยาม) เพื่อให้สังคมสงบสุข แต่มากมายหลายครั้ง เราเอาสิ่งที่เป็นกติกา สิ่งสมมุมติเหล่านั้นมาทำร้ายทำลายกัน คนที่ยึดความดีงามทำร้ายคนที่แตกต่างกันด้วยความดีงาม คนที่ยึดความเลวร้ายทำร้ายคนที่แตกต่างด้วยความเลวร้าย ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต พระกรรมฐานกลางกรุงให้สติที่จะเผชิญกับ คำพูดไว้ว่า "ดีแสนดีมันก็ด่า ชั่วแสนชั่วมันก็ชม จะเอาอะไรกับปากมนุษย์" มนุษย์มิได้ทำร้ายกันด้วยคำพูดเท่านั้น กริยาท่าทางก็เช่นกันทำร้ายกันพระพุทธองค์จึงสอนศีลข้อแรกเป็นเจตนาละเว้นการทำร้ายร่างกายกัน ข้อสองเป็นการเว้นประทุษร้ายต่อทรัพย์ ข้อสามเป็นการไม่ทำร้ายของรักของกันและกัน ข้อสี่เป็นการไม่ทำร้ายกันด้วยวาจา ข้อห้าเป็นการไม่ทำร้ายตนเอง แต่การอยู่ในสังคมย่อมมีการวิจารณ์ต่างๆอยู่เนืองนิตย์ เราใช้เป็นข้อมูลนำเข้าเพื่อสำรวจตนเองได้ใช้เป็นข้อมูลเพื่อเรียนรู้เขาและสำคัญเรียนรู้ตนเอง ในโลกมีเรื่องราวมากมายอาจแยกเป็นสี่เรื่องแต่เรามักสนใจสามเรื่องแรกเท่านั้น เรื่องแรกคือเรื่องของกู มึงไม่เกี่ยว เรื่องที่สองคือเรื่องของมึง กูไม่ยุ่ง เรื่องที่สามเป็นเรื่องของมัน ทั้งมึงและกูไม่เกี่ยว ส่วนเรื่องที่สี่ที่สังคมควรสร้างคือ เรื่องของเรา เราทุกคนต้องใส่ใจประกอบกิจร่วมกันด้วยความเคารพกันและกัน
เมื่อเผชิญกับทุกข์ภัย ความเจริญในธรรมวัดกันที่ผล อาจารย์หมออมรา มลิลา บอกว่าใจที่อลหม่านต้องได้รับการฝึกให้สงบนิ่ง เป็น อจลศรัทธา(อะจะละสัดทา) ไม่หวั่นไหวเป็นผลที่แสดงภูมิธรรม การสร้างความสงบของผมมาจากการสวดมนต์ด้วยความมั่นใจในพุทธคาถา(ศรัทธา) ใช้ความตั้งใจพยายามศึกษาฝึกฝนอย่างต่อเนื่องของความมีประโยชน์ในการมีจิตสงบ(วิริยะ) มีคาถาประจำเอาไว้อยู่กับกายด้วยการภาวนา เพื่อสร้างความระลึกรู้(สติ) บางครั้งก็หาหนังสือมาอ่าน เพื่อสร้างความต่อเนื่องในความสนใจ(สมาธิ) พยายามไม่สงสัยต่อสรรพสิ่งด้วยการเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า(ปัญญา)
มนุษย์เกิดมามีกายที่ต้องอาศัยใจ ใจเป็นใหญ่เป็นประธาน ทุกสิ่งทุกอย่างสำเร็จลงแล้วด้วยใจ ใจสร้างจากความรัก ความรักสร้างจากความเมตตา โปรดเมตตาต่อสรรพสิ่งที่เกิดขึ้น
ขอให้เจริญด้วยธรรมสี่ มีอายุยืนยาว มีวรรณะที่ผ่องใส มีความสุขสงบในธรรม และมีพลังที่จะพาตนข้ามพ้นทุกข์ภัย
(จัตตาโร ธัมมา วัฒทันติ อายุ วัณโณ สุขขัง พลัง)
เขียนมายืดยาวไม่รู้ว่าตรงกับที่ติ๊ดตี่ต้องการรู้หรือไม่ แต่เขียนด้วยความปรารถนาดี จากประสบการณ์ของคนอายุย่าง ๖๐ ปี หวังว่าคงจะได้รับฟังแลกเปลี่ยนกับติ๊ดตี่อีก ขอบคุณที่สละเวลาอ่าน
ผมเขียนถึงติ๊ดตี่จบที่เขื่อนสิริกิติ์ในวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๔ เวลา ๑๕.๐๐น.
ด้วยจิตนอบน้อม
ตุ๊ดตู่
--------------------------------------------------------------------------------

Subject: ชีวิตที่งดงาม
From: Teedtee
Sent: พ. 10/8/2554 8:24
RE: ชีวิตที่งดงาม teedtee
To: Toodtoo
Cc: toi

เรียน พี่ชายที่แสนดี
น้อมรับด้วยความขอบพระคุณอย่างสูง ในความโดดเดี่ยวก็ยังมีความโชคดีคือมี "พี่ชาย" ที่เข้าใจน้องสาวคนนี้ สังคมใน egat มีแต่คำว่า "ผลประโยชน์" ทั้งนั้น ตั้งแต่ตี่เข้ามาจนถึงปัจจุบัน ถึงจะอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว ประสพการณ์ที่ผ่านมา บวกกับการได้พบกราบไหว้พ่อแม่ครูบาอาจารย์ ทำให้ตี่แกร่งขึ้น ที่จะสู้กับสังคมจอมปลอมแต่ก็มีบางครั้งที่หวั่นไหวบ้าง วันนี้ตี่เข้ามาอบรมที่ส่วนกลางเลยถือโอกาสมานั่งเขียนเล่าให้พี่ฟัง และพอเข้ามาก็เลยทราบว่า ทาง อคภ.ผ่านเรื่องให้แล้ว หลังจากที่ต้องให้หัวหน้ากอง "พี่เอก" เข้าไปบอกถึงความต้องการจะรับเอง รายละเอียดจะไปเล่าให้ฟังค่ะ แต่ตี่กลับรู้สึกเฉยๆ ไม่ยินดียินร้าย อยากให้พอเรื่องไปถึง "ชฟน" แล้วถูกดึงเอาไว้ไม่ให้ย้ายด้วยซ้ำ เพราะเห็นว่าเรามีประโยชน์อยู่ อยากให้เรียกพบ จะได้บอกว่า "อิทธพล+ผลประโยชน์" มันทำให้คนเห็นแก่ตัว+พวกพ้อง อีกทั้งการอยู่ในตำแหน่งยาวนาน ร่วม 10ปี ของหัวหน้ากองบางคนก็ไม่ได้เกิดการพัฒนาหรือการสร้างสรรใดใด EGAT จะเจริญก้าวหน้ากว่านี้ หากทุกอย่างเล่นตามเกมส์ ความทดถอยของคน egat บางคนก็มาจากความเสื่อมถอยของระบบ ที่ไม่เป็นระบบนั่นเอง กราบขอโทษด้วยที่ตอบช้าเพราะ4-5 วันที่ผ่านมาพาแม่ตะรอนทัวร์ อีสาน+ทำบุญวันเกิดแม่ ทำให้ไม่ได้ไปทัวร์ สายชลสัมพันธ์ แต่ถึงอยู่ก็ไม่เคยรู้เรื่องนอกจากต้องถามเอง เมื่อกี้พี่เอกเพิ่งมาบอกว่า ฝ่าย"อคภ" อยากคุยด้วย ทั้งที่พี่เอกบอกว่ารับแล้ว มันทำให้ตี่ไม่อยากอยู่ถ้าหากจะทำให้ใครต้องลำบากใจ
คิดถึง+อยากคุยด้วยมากค่ะ
ติ๊ดตี่
หมายเหตุ ขออนุญาตพี่ส่งให้พี่ชายที่แสนดีของสายน้ำอีกคนได้อ่านด้วยนะคะ อย่างน้อยในความโดดเดียวก็มี"พี่ชายตั้ง 2 คน"นะจะบอกให้

--------------------------------------------------------------------------------

หลังจากนั้น ติ๊ดตี่ ก็มีจดหมาย ถึง ผู้บังคับบัญชา

From: Teedtee
Sent: อ. 16/8/2554 13:42
To: Tan
Cc: Toodtoo; Toi
Subject: ขอเรียนปรึกษา

เรียน Tan(Tan=ท่าน) ที่เคารพอย่างสูง
ตี่ขออนุญาตเรียนปรึกษาฝ่ายทาง e-mail ด้วยไม่มีโอกาสไปเรียนปรึกษาด้วยตนเอง กราบขออภัยล่วงหน้านะคะ เรื่องมีอยู่ว่า ที่ตี่ขออนุญาตย้ายกลับมาทำงานที่ อxy. ด้วยวัตถุประสงค์ของการต้องการมาทำงานเพื่อประโยชน์ส่วนรวม หากว่าตี่อยู่ อxx. แล้วทำงานไม่ได้ เพราะคนที่นั่นไม่รับตี่ ทั้งที่ตี่อยากอยู่และทำงานให้ อxx.อย่างที่เรียนให้ทราบ ก่อนทำเรื่องย้ายได้คุย กับทั้ง พี่ อช. และพี่ สภ. แล้วจึงทำเรื่องย้าย เรื่องเข้าพิจารณา คบ.อxy.เมื่อเดือนที่แล้วครั้งแรก(กค.54) แต่พี่ อช. ไม่ได้เข้า(พาแม่ไปหาหมอ) ก็เลยไม่ผ่าน คบ.อxy.ผู้แทน 2คน(ป้าt ระดับ 10เกษียณ ตค.นี้ กับระดับ 9)ถูกที่ประชุมตีกระเจิงทั้งที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานในกอง อช. จบลงด้วยเดือนหน้า กอง อช.ต้องมารับรองเอง พี่ อช. ก็มาบอกตี่ว่า ให้รออีกเดือนตอนนั้นใจตี่แกว่งแล้วรู้สึกเหมือนว่า ทำไมคนต้องการมาทำงานให้กับเจอกับการตีกัน กลับมาทำไมมีปัญหาอะไรรึเปล่า ซึ่งจริงแล้วก็เป็นเหตุผลเรื่องงานเท่านั้น ตี่ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับใคร ถ้าจะมีก็เพียงความเห็นแก่ตัวของคนระดับสูงที่ไม่รู้จักคำว่าเสียสละเท่านั้น และความความอึดอัดที่เหมือนเป็นส่วนเกินของ ควผฝ.มากกว่า (เพราะตี่เคยเรียนกับ 11 แต่11 บอกว่า ผมคุยกับพวกเขา เขาบอกว่า พวกเขาไม่มีปัญหา (ก็เวลามีงานอะไรก็ไปด้วยกัน QC/KM ชฟx. รวx.) ตี่ก็ต้องสรุปว่าตี่เป็นคนมีปัญหาเอง(ไม่เป็นไร)
พอมาเดือนนี้ (สิงหา) พี่ อช" รับรองใน คบ. แต่ที่ประชุม คบ.มีข้อแม้มาว่า ตี่ต้องเข้าไปคุยกับฝ่าย คือ พี่ พศ.(เรื่องคือเข้าไปรับนโยบายเพราะถูกมองว่าเป็นคนมีปัญหา (ทั้งที่ตอนไปจาก อxy.ก็เพียงเพื่อการหลีกทางให้ ระดับ 7 ได้ขึ้นเป็น หัวหน้าแผนกเท่านั้น กลับมาก็รู้ว่าที่นี่ต้องการคนที่จับงานด้านนี้มาทำงานให้ ไม่ได้มาด้วยเหตุผลของตำแหน่งอะไร(ของการปรับโครงสร้างเลย) รู้ว่าพี่ อช. ต้องการคนช่วย และก็รู้ว่ามาตรการนี้ไม่ได้มาจากพี่ อช. ด้วย (ตอนนี้ตี่ยังไม่ได้เข้าไปพบพี่ พศ.)
ในฐานะที่ฝ่ายฟันฝ่าอุปสรรคมามากมาย ถ้าหากตี่จะขอฝ่าย ขอกลับไปฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆที่ อxx. ตามเดิม ฝ่ายจะยังให้ตี่กลับไหมค่ะ ยังจะรับลูกคนนี้หรือไม่ค่ะ
ตั้งแต่เดือนที่แล้ว ที่ทางนี้(อxy.)ดึงเรื่อง (ทั้งที่คุยกับหัวหน้ากองแล้ว) ตี่ไม่ได้โกรธใครทั้งนั้นแต่ไม่เข้าใจ+เจ็บปวดมากกว่า ที่เจตนาดีของเรา มองคน อxy.อย่างดีแต่มีบางคนกลับคิดกับเราไม่ดี ยังมีหลายที่ให้เลือก แต่ตี่ก็ยังเลือกกลับมาที่นี่ แต่คนที่ไม่เกี่ยวกับงานไม่ได้ช่วยพี่ อช. ทำงาน กลับมาลิขิตแทนได้ ตี่ได้ปรึกษาทั้ง พี่ต้อย ช.อxz.-ป และพี่ตุ๊ดตู๋(วก11-ชฟx.)มาโดยตลอด
อย่างที่ตี่เคยเรียน ฝ่าย ตี่เดินหน้าแล้วไม่อยากถอยหลัง แต่ตี่ก็ต้องถอยหลัง ตอนที่ตี่จะย้ายไป อxx.และฝ่ายถามตี่ ว่าอยากมาที่นี่เพราะอะไร ตี่บอกว่า เพราะครูบาอาจารย์ ตอนนี้ ตี่ก็ยังยืนยันว่าตี่อยากอยู่ที่อีสาน เพราะพ่อแม่ครูบาอาจารย์ วันนี้ตี่ได้พบ คุณสล งศ ลูกน้องเก่าของฝ่าย (อยู่ อxy.) เขาบอกว่าเขาก็เป็นคนมีปัญหาที่นี่เหมือนกันแล้วย้ายปล่อย เขาบอกตี่ว่าทุกอย่างคือตัวเราเองเท่านั้น ว่าต้องการอะไร ตี่ไม่ต้องการเป็นตัวปัญหาให้ใคร แต่ปัญหามักจะมาอยู่กับคนที่กล้าคิด กล้าพูด กล้าทำ เสมอ
ณ เวลานี้ ตี่ดูแล้วว่าอนาคตตี่ใน กฟผ. คงไม่รุ่งเรือง และคงอยู่ที่ ระดับ 8 เต็มขั้นแน่นอน (เพราะกว่าจะได้แต่ละระดับมา ก็คอยจนไม่มีตัวแล้ว ถึงบุญหล่นทับ เรื่องงานก็ยังต้องออกไปหางานขอเป็นผู้ตรวจประเมิน SEPA รวx.เอง) ไม่ตัดพ้อต่อว่า แต่เข้าใจว่าตัวเองต้องการอะไร ปีหน้าตี่ก็จะออกแล้ว เพราะสำหรับตี่ ตอนนี้ไฟฟ้าไม่ได้น่าอยู่เหมือนสมัยตี่เข้ามาใหม่ๆ ทุกวันนี้มีแต่ผลประโยชน์ เพื่อตัวพวกพ้องเท่านั้น ฯลฯ
สรุป ก็คือ ตี่ขอกลับไปทำงานที่ อฟอ.โดยยังมีพ่อคือฝ่ายเป็นร่มโพธ์ร่มไทรที่คุ้มลูกคนนี้ได้ไหมคะ อีกอย่างจากที่พาแม่ไป "อีสาน" ครั้งแรกนี้ แม่พอจะรับได้กับความเงียบสงบ+ความเป็นอยู่ (พาไปดูบ้านเอื้อฯที่ซื้อไว้) สักวันคงทำให้แม่ยอมมาอยู่ หรือไปอยู่เชียงใหม่ ตี่ยังไม่ได้กลับไปเขื่อน กราบขออภัยเป็นอย่างสูงที่ต้องเมล์หา อยากไปพบฝ่ายด้วยตนเอง แต่ถามพี่แดงบอกว่าอาทิตย์หน้า ฝ่ายก็ไปประชุมสายรอง ที่แม่เมาะ (ไม่มีโอกาสเจอกัน) หากฝ่ายไม่ขัดข้อง ตี่ขออนุญาตโทร.หานะคะ(เพื่อชี้แจงรายละเอียด)
ด้วยความเคารพอย่างสูง
ติ๊ดตี่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น