วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

วันอันมืดมน

ฟังแล้วสงสารประเทศไทย



อีกมุมหนึ่ง


ชอบ ที่เราจะต้องอยู่ปจนชีวิตหาไม่ก็ยังไม่มีเสรี

ความเกลียดชังนำพาไป อย่าชังอะไรเลย

วันพฤหัสบดีที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

Awakening after Bitterness and Suffering

หลังการอบรมช่างขมขื่น แต่สดชื่นเมื่อเรียนรู้
 

"ความขมขื่นหายไปเมื่อความเข้าใจมาแทนที่"
ทิพย์ พัชน์ศรี

ผมตกจมอยู่กับอัตตาเป็นเวลานาน ผมไม่เห็นจิตใจมนุษย์ มนุษย์ที่อิจฉาและมัจฉริยะพาไปในโลกย์ โลกย์อันเบียดเบียน แต่เมตตาและกรุณายังคงอยู่ตรงนั้นที่เดียวกับอิจฉาและมัจฉริยะ
เมื่อคุณเจตนาอย่างใด กรรมอันประกอบขึ้นก็เป็นเช่นนั้น
 

นี่คือเหตุการณ์
หลังการอบรมหลักสูตรหนึ่งที่ศูนย์ฝึกอบรมฯ ในจังหวัดฉะเชิงเทรา ระหว่างนั้นไม่มีการลงชื่อในการทำงาน ไม่มีการกล่าวถึงค่าตอบแทน
ผมได้สอบถามผู้ประสานงานว่า "คุณจะเก็บตั๋วรถไฟในการเดินทางของผมไว้ไหม?"
ผู้ประสานงานตอบว่า"ถ้าต้องการเบิกให้ส่งมา"
นั่นคือก่อนขึ้นรถตู้เพื่อไปรับภรรยาที่พักอยู่ในโรงแรมจังหวัดชลบุรี เมื่อออกจากโรงแรมผมเปิดเครื่องนำทางของ Google และให้เครื่องโทรศัพท์ไว้ที่คนขับรถ รถมาใกล้ถึงโรงแรมเป้าหมาย ผมไม่รู้จักโรงแรมมาก่อนจึงนั่งมองสองข้างทางอย่างใจจดจ่อ ผู้ประสานงานบอก "รถเลยมาแล้ว มันอยู่ตรงที่ผมบอก"
รถจอดข้างทาง ไกลจากโรงแรมประมาณ 300 เมตร ผมโทรศัพท์ไปสอบถามโรงแรม ปลายสายบอกเลยมาแล้ว
ผมขอให้วนรถไปส่งผมเพราะมันมีทางวนได้ คนขับและผู้ประสานงานบอกรถมันติด สิ่งที่ทำได้คือลงจากรถพร้อมภรรยา ในเวลาประมาณ 17 นาฬิกา (ประมาณเอา) กระเป๋าเดินทางสองใบที่ใส่เสื้อผ้าสำหรับการเดินทาง 6 วัน กระเป๋าเป้สะพายหลังหนักประมาณ 7 กก. หนึ่งใบ ถุงใส่ของที่ซื้อกลับบ้านอีกหนึ่งใบหนักประมาณ 4 กก.
เดินย้อนผู้คนและรถกลับไปข้ามถนนและประมาณ 10 นาทีหลังจากลงรถจึงได้เข้า Check in ที่โรงแรม
ความรู้สึกของผมสับสนไปหมด มันรวดเร็วมากตั้งแต่จอดรถและให้เดินย้อนไป แดดร้อนมาก ภรรยาอายุ กว่า 50 ปีบอกผมว่า"ทีหลังวางแผนให้ดีนะ" 10 นาทีที่ขมขื่น ผิดหวัง แต่ผมก็ผ่าน 10 นาทีนั้นมาอย่างงง รับรู้ความเหนื่อย ความร้อน และสงสารภรรยามากที่ต้องมาลำบากเพราะผม
เมื่อกลับมาถึงบ้าน ภรรยาถามว่า "ยังอยากไปบรรยายอีกหรือป่าว" ผมอึ้งชั่วขณะก่อนตอบว่า "ไม่แล้ว" ในใจคิดว่า 'คงไม่มีใครเชิญมาอีกแล้ว นี่คงเป็นครั้งสุดท้าย คนที่เห็นคุณค่าของกระบวนกรคงหมดไปจากหน่วยงานแล้ว'


ผมไม่ได้รับการติดต่อจากผู้ประสานงานแต่อย่างใด และผมคงไม่ติดต่อเขาด้วย ทีแรกผมสับสน ตามมาด้วยความโกรธ ต่อด้วยความเกลียดชัง และเมื่อสงบลงผมพิจารณาทางเลือกว่าจะทำสิ่งใดได้บ้าง จึงกลับมาที่เอกสารเชิญและจินตนาการของผม มันทำให้เห็นว่าถ้าจะจบเรื่องนี้ คงต้องเรียกเก็บค่าใช้จ่ายไปยังผู้เชิญ ผมทำบันทึกหลังการอบรมแล้วรวบรวมเอกสารที่จำเป็น ปรึกษากับเพื่อนให้เขาตรวจเอกสารทั้งหมด เมื่อเขาให้ความเห็นแล้ว ผมจึงส่งไปให้ผู้เชิญเพื่อขอเรียกเก็บค่าใช้จ่าย ไม่ลืมที่จะสำเนาให้ผู้ประสานงาน


เช้าวันจันทร์เพื่อนอีกคนโทรมาสอบถามผมเล่าเหตุการณ์ให้เขาฟังรวมทั้งการที่ผมต้องเดินไปโรงแรมอย่างขมขื่นด้วย
หลังจากนั้นความเคลื่อนไหวของผู้ประสานงานจึงเกิดขึ้นส่ง email โทรมาแจ้งให้ผมส่งตั๋วโดยสารไปแล้วจะเบิกเงินให้
ผมไม่ได้ทำสิ่งใด ผมรอ ระหว่างนั้นมีการสอบถามเหตุการณ์ ทางหน่วยงานต้นสังกัดเรียกประชุมผู้เกี่ยวข้อง ผมทราบว่าเขาบอกผมแล้วให้ส่งตั๋วโดยสารมา และผมเข้าใจดี ยังบอกอีกว่าสิ่งที่ผมทำในการอบรมไม่บรรลุวัตถุประสงค์ น่าเหนื่อยใจที่ได้ทราบ เพื่อนขอให้ผมคุยกับหัวหน้าหน่วยงานต้นสังกัด ผมโทรไปคุยกับหัวหน้าหน่วยงานต้นสังกัดเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง รวมทั้งการเดินอันขมขื่นด้วย เขาขอโทษและรับปากจะดูแลให้
ผู้ประสานงานจึงโทรมาอีกครั้งและให้ผมไปลงนามเอกสารที่หน่วยงานในจังหวัดที่ผมอยู่ ผมสงบลงมากแล้วจึงไปดำเนินการ


เช้าของวันที่จะไปดำเนินการนั้นเพื่อนส่ง เอกสารที่เขาชี้แจงมาให้อ่านทาง Line แล้วถามว่า "ไม่ทราบถูกต้องหรือไม่" ผมตอบไปว่า"เขารายงานว่า 'เข้าใจดี' เป็นความเข้าใจเอาเอง ผมไม่รู้ว่า อาจารย์อีกท่านได้รับแจ้งบนรถหรือไม่ ผมว่าอย่างไรเขาก็ไม่รู้สึกหรอก ช่างความถูกต้องเถอะ ผมรับโทรศัพท์และพูดกับเขาว่าครับ ไม่ได้พูดอะไรมากกว่านั้น คงทำให้เขาเข้าใจว่าผม 'เข้าใจดี' "
เราสนทนาทาง Line ต่ออีกนิดหน่อย หลังจากนั้นผมได้ติดต่ออาจารย์อีกท่านหนึ่ง สอบถามท่าน ท่านบอกว่าได้รับแจ้งทางโทรศัพท์เมื่อไม่กี่วันนี้ ผมสอบถามว่าบนรถได้คุยอะไรกันหรือไม่ ท่านบอกว่าไม่เขาหลับตลอดทาง และเล่าให้ผมฟังว่าเมื่อให้ผมลงจากรถแล้วรถวนมาผ่านทางที่โรงแรมที่ผมจะไปตั้งอยู่ 


เมื่อทราบผมไม่ได้คิดอะไรมาก ความสับสนหายไป ความโกรธและความเกลียดชังเลือนไปด้วย เข้าใจการทำงานของ "อิจฉาและมัจฉริยะ" ที่ดำเนินของมันไปอย่างนั้นเอง ความขมขื่นหายไป ดีใจที่ได้เรียนรู้ เป็นอีกบทเรียนที่หาได้ยาก ผู้ประสานงานเข้าใจไม่ผิด "ผมเข้าใจดี" แต่ไม่ใช่เข้าใจในเรื่องเดียวกับที่ผู้ประสานงานต้องการให้เข้าใจ

ผมเข้าใจดีว่า  "อิจฉาและมัจฉริยะ" ต้องการ เมตตาและกรุณา อันไม่มีประมาณ

วันจันทร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

KM Trainer june 26-29,2018

บันทึกหลังการอบรม KM Trainer สายงาน รวธ. 
การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
ระหว่าง วันที่  26 – 29 มิถุนายน 2561  
ณ ศูนย์ฝึกอบรมบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา

เดิมได้รับแจ้ง email สิ่งแนบ เป็น CA & FA ... Rev07
แต่ในหลักสูตรเป็น KM Trainer 


คณะวิทยากร
วิทยากรภายนอก 1.นายศิริวัฒน์ เก็งธรรม 2.นายสำเนา จุมพุก
วิทยากร รวธ. กฟผ. 3.นายบุญเสริม แจ้งอรุณ 4.นางศากุน ปิติไกรสร 5.นายรัฐภูมิ  ขำศิริ   
วิทยากร โรงไฟฟ้าบางปะกง กฟผ. 6.นายอนุรุธ กฤษวงศ์ 7.นางสาวแจ่มแข ภักดีคำ 8.นายพิชิต ซวดทอง 9.นายสำราญ จรรยา
วิทยากร ผู้ช่วยโรงไฟฟ้าพลังน้ำ กฟผ. 10.นายภัคภู แก้วเกรียงไกร 11.นางสาวภัทรฤดี รัตนปริคณน์

ผู้เข้าอบรม ผู้ปฏิบัติงาน รวธ. จำนวน 20 คน

1.โอ๊ต หม้อน้ำ 2.โม นะวะ 3.แมน NDT 4.ติ๊ก ชอบช๊อป 5.มิ๊ม Twin 6.สุทีป อคบร 7.ปุย ลุงปุย 8.เปียกปูน ตัวแถม 9.จ๋า กินเด็ก 10.เหมี่ยว มะเม่ง 11.บอย เบิกบาน 12.ดำ บอยอ 13.เผ่า หัวหน้าเผ่า 14.หงษ์ กังหัน 15.หมิว หิวตลอด 16.น้ำหวาน ทานทุกอย่าง 17. ยี่หวา ลาไปกิน 18.เต๋า พัทยา 19.บัติ อัมพวา 20.เอ็ม อะหลั่ย

ผู้ดำเนินการ คอน-ธ. รวธ กฟผ.

วัตถุประสงค์การอบรม
มีทัศนะคติที่ดี เชื่อมั่นและมุ่งมั่นในการใช้เครื่องมือ KM ในการทำงาน รวมถึงการเป็นวิทยากรถ่ายทอดในหน่วยงานต่อไป

วันที่ 26 มิถุนายน 2561 วันแรกของการอบรม


 
เริ่มการอบรม 10:00 น. อ.ศากุนและอ.สำเณาว์ Check In ผู้เข้าอบรมด้วยหัวใจ 4 ห้อง เพื่อเป็นการสร้างความคุ้นเคยและสอบถามวัตถุประสงค์การมารับการอบรม ด้วยการตั้งชื่อฉายา ทำให้ทราบว่าผู้เคยเข้าอบรมหลักสูตร CA-Fa. for Innovation ที่เป็นผู้อบรมเป้าหมายมีเพียง 7 คนจากจำนวน 19 คน (มีตามมาภายหลังอีกหนึ่งคน เคยเข้าอบรมแล้ว) เราทำกิจกรรมละลายพฤติกรรมเพื่อให้เกิดความคุ้นเคยระหว่างกัน จากนั้นได้ให้ผู้เข้าอบรมได้เล่าเรื่องประสบการณ์ของตนเองในการปฏิบัติงานและใช้เครื่องมือการจัดการความรู้ BAR AAR และ SST ทุกคนเล่าได้สนุกสนาน สนใจใฝ่รู้ ทำให้รู้จักงานของกันและกันมากขึ้น ในระหว่างนั้นผู้เข้าอบรมได้ฟังกำลังใจจาก รวธ. เป็น VDO สั้นประมาณ 3 นาที ที่พูดถึง นวัตกรรมและการขับเคลื่อนในหน่วยงาน เราพักรับประทานอาหารเมื่อ 12:00 น. (หมายเหตุ เวลาอาจคลาดเคลื่อนเล็กน้อยซึ่งไม่เป็นประเด็นสำคัญ)
ระหว่างพักวิทยากรได้ปรึกษาเพื่อปรับกระบวนการอบรมให้มีประโยชน์กับผู้เข้ารับการอบรมที่มีความแตกต่างกันทั้งอายุงาน อายุตัว วิชาชีพ และพื้นฐานความรู้ในการจัดการความรู้เป็นต้น (มีตั้งแต่อายุงานไม่ถึง 1 ปี จนถึงอายุงานเหลือ 1 ปี 3 เดือน อายุตัว 25 ปี ถึง 59 ปี ลักษณะงานอาชีพ ด้านช่าง งานบริการ และงานเอกสาร เคยอบรมและใช้เครื่องมือ KM ต่างกันเป็นต้น) โดยการปรับคำนึงถึงวัตถุประสงค์การอบรมเดิมคือให้มีทัศนะคติที่ดี เชื่อมั่นและมุ่งมั่นในการใช้เครื่องมือ KM ในการทำงานรวมถึงการถ่ายทอดในหน่วยงานต่อไป
ช่วงบ่ายเราเริ่มด้วยการสดชื่นตื่นรู้แล้ววิทยากรนำผู้เข้าอบรมสัมผัสกับหลักการพื้นฐานของการหันหน้าเข้าหากัน 6 ประการ การสร้างพื้นที่ปลอดภัยที่ปราศจาก 6 บ.(เบรก เบลม บี้ เบิ้ล ใบ้ และโบ้ย) การหมุนวนของ Tacit Knowledge สู่ Explicit Knowledge ด้วยแนวคิด SECI Model (Socialization Externalization combination & Internalization) จนกระทั่งหมุนวนเป็นเกลียวความรู้ยกระดับไปอย่างไม่รู้จบบนพื้นที่ปลอดภัย
เราคุยกันในสายงานผู้ช่วยผู้ว่าการเดียวกัน ทดลองการสนทนาที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้ ด้วยความคิดที่ว่าการสนทนาเป็นวิถีทางที่มนุษย์ใช้คิดร่วมกัน
เราต่อด้วยสุนทรียสนทนา การฟังอย่างตั้งใจ การไม่ตัดสิน การเปิดพื้นที่ และการฟังเสียงภายในตน ผนวกกับ U Theory ในการระวังเสียงของการตัดสินจากความคิด การระวังเสียงของความรังเกียจเหยียดหยามจากความรู้สึกในใจ และระวังความกลัวที่จะปิดกั้นเจตจำนงของเรา เราเว้นระยะ "เปิดรับสิ่งใหม่ ด้วยใจเป็นกลาง สร้างผลงานทันที" เราทดลองกิจกรรมกลุ่มแบ่งผู้เข้าอบรมเป็นสามกลุ่ม สนทนา"ประสบการณ์การสร้างปัญญาจากการฟัง"ของแต่ละคนในกลุ่มแลกเปลี่ยนเรียนรู้แล้วหลอมรวมนำเสนอเป็นรูปภาพ ชื่นชมภาพของกันและกัน เลือกภาพของกลุ่มอื่นที่เราชอบแล้วอธิบายภาพนั้นผ่านประสบการณ์ของเรา ภาพที่สื่อออกมาไร้ถ้อยคำ เมื่อเราอธิบายภาพของผู้อื่นและรับรู้การอธิบายภาพของเราจากผู้อื่น เราเข้าใจและเรียนรู้ได้ ภาพหนึ่งภาพแทนคำพูดหลายคำ เมื่อกระทบกับประสบการณ์ภายใน คำอธิบายที่เกิดขึ้นจึงมาจากการตีความ เราอธิบายสิ่งที่เห็นจากประสบการณ์ภายในของเรา หากเชื่อมต่อกันได้ความเข้าใจไปในทางเดียวกันเราจบวันแรกเพื่อเรียนรู้ในวันต่อไป
ในระหว่างวันเราแทรกกิจกรรมสดชื่นตื่นรู้เป็นระยะ



วันที่ 27 มิถุนายน 2561 วันที่สองของการอบรม
เราเริ่มด้วยกิจกรรมสัมพันธ์อันนำไปสู่ความสดชื่นตื่นรู้ ขยับแขนขา ออกกำลัง มีปฏิสัมพันธ์กันและกันอย่างสนุกสนานเพื่อเรียกวัยเยาว์มาเป็นกำลัง ความเอื้ออาทร ความสนุกสนานนำความสนิทสนมมาสู่กลุ่ม
วันนี้เรามีวิทยากรจากโรงไฟฟ้าบางปะกง 2 คนมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ คนหนึ่งทำงานเดินเครื่องโรงไฟฟ้า วศ.อนุรุธ เป็นวิทยากร KM มาตั้งแต่ปี 2551 อีกคนเป็นคณะทำงานพัฒนาองค์กรแห่งการเรียนรู้ ชฟฟ.3 (คพร-ช3) คุณแจ่มแข วิทยากร KM ทั้งสองได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์การใช้ การสอน และการขับเคลื่อน KM ในโรงไฟฟ้าบางปะกง ประสบการณ์อันยาวนานในการทำความรู้จัก เข้าใจ นำไปใช้และถ่ายทอด เต็มไปด้วย ความเมตตา อดทน พยายาม ต่อด้วยประสบการณ์จากวิทยากร KM โรงไฟฟ้าพลังน้ำคุณภัคภู ที่ใช้และถ่ายทอดในสายงาน ปิดท้ายประสบการณ์จาก  วิทยากรจาก ชธธ. วศ.รัตภูมิ ซึ่งถ่ายทอดได้ชัดเจนสนุกสนาน ตอนท้าย วศ.รัตภูมิสอบถามใครจะนำเครื่องมือนี้ไปใช้บ้าง ผู้เข้าอบรมทุกคนยกมือ เราจบครึ่งวันแรกด้วยประสบการณ์การใช้และถ่ายทอดเครื่องมือ KM ใน กฟผ.
ช่วงบ่าย เรากลับมาสู่เครื่องมือการทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างกันเป็นไปด้วยดี รู้เรา รู้เขา รู้จักคนในรูปแบบผู้นำสี่ทิศ กระทิง อินทรี หนู หมี แนะนำให้ผู้เข้าอบรมได้รู้จักและเลือกว่าตัวเราเป็นประเภทใด มีผู้เลือกเป็นอินทรี 2 คน เป็นหนู 13 คน และอีก 5 คนเป็นหมี เราทำความเข้าใจตนเองและผู้อื่น แลกเปลี่ยนประสบการณ์ตรงที่เคยพบผู้คนแบบต่างๆ แล้วสรุปว่าเราจะปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นให้ราบรื่นอย่างไร นำเสนอแลกเปลี่ยนกันเพื่อเป็นแนวทางในการสร้างความสัมพันธ์บนความรู้สึกที่ดีต่อกัน
หลังจากนั้นวิทยากรนำเสนอความคิด 6 แบบ เพื่อแยกแยะความคิดในการสนทนาร่วมกันเป็นแนวทางระหว่าง ความจริงกับความรู้สึก ความดำมืดอันตรายกับความสดใสสร้างสรรค์ ความคิดนอกกรอบหลุดกรอบกับการสรุปที่นำไปสู่การนำไปปฏิบัติได้ กรอบแนวคิดนี้ทำให้เราประสานคนนิสัยแตกต่างกัน คิดแตกต่างกัน ได้อย่างเข้าใจและตระหนักว่าความสัมพันธ์อันดีนำมาซึ่งการถ่ายทอดความรู้และการจัดการความรู้ การจัดการความรู้สึกในการเรียนรู้ร่วมกันนำไปสู่การจัดการความรู้ขององค์กร ความรู้สึกที่ดีต่อกันมาจากความเข้าใจในความแตกต่างหลากหลายของผู้คน พื้นฐานมาจากการจัดการความรู้สึกตัวของคนทำงานที่มีความรู้อยู่ในตนผู้ทำงานร่วมกัน การจัดการความรู้จึงเนียนในเนื้องานได้ เราจบวันเพื่อเรียนรู้ต่อ
ไป




วันที่ 28 มิถุนายน 2561 วันที่สามของการอบรม
เราเริ่มวันด้วยกิจกรรมสดชื่นตื่นรู้ อันเป็นฐานกาย ฐานใจ เพื่อสร้างความเข้มแข็งต่อฐานคิดจากกิจกรรมเล่นและเรียนอันออกแบบได้อย่างชาญฉลาดแนบเนียนโดย อ.สำเณาว์
วันนี้เรามีวิทยากร KM ที่เป็น CA&Fa จากโรงไฟฟ้าบางปะกง ที่นำประสบการณ์ การใช้และถ่ายทอด KM ทั้งในและนอกหน่วยงานมาร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้อีก 2 คน วศ.พิชิตและ วศ.สำราญ ทั้งสองคนใช้และสอน KM ในหน่วยงานตนเริ่มตั้งแต่ในปี 2549 รู้จัก ถึงปี 2551 เข้าใจ นำไปประยุกต์ใช้ในหน่วยงาน จนประสบผลที่ดี เจ้าของ KM สคส. ยังมาดูงาน ดูความเจริญเติบโตของเมล็ดพันธ์งอกงามอย่างงดงาม โรงไฟฟ้าบางปะกงเป็นแหล่งเรียนรู้ KM ให้แก่หน่วยงานภายนอก รวมทั้งไปร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับหน่วยงานข้างนอกอีกหลายหน่วยงาน ผู้เข้าอบรมสนทนาซักถามจนถึงเวลาอาหารกลางวัน
ตอนบ่ายวิทยากรแสดงเส้นทางกว่าจะเป็นวิทยากร KM ของโรงไฟฟ้าบางปะกงได้ผ่านหลักสูตร ต่างๆ คือ ในช่วงแรกเพื่อทำความรู้จักเครื่องมือ ได้เข้าอบรม KM Concept and Tool ทำความเข้าใจในแผนขับเคลื่อน อบรมหลักสูตร Outcome Mapping เพื่อวางแผนขับเคลื่อน อบรม KM Trainer, คุณอำนวย, Change Agent and Facilitator แล้วนำไปใช้ในหน่วยงานตน ระหว่างนั้น ได้เข้าอบรม หลักสูตร ทบทวน KM Trainer หลักสูตรยกระดับ KM Trainer ทั้งนี้มีคณะขับเคลื่อนและผู้บริหารทุกระดับให้การสนับสนุน
วิทยากรชักชวนผู้เข้าอบรมได้รวบรวมประสบการณ์และการเรียนรู้ที่ผ่านมาเพื่อออกแบบการใช้ KM ในหน่วยงานตนโดยตอบคำถาม ทำไปทำไม ทำอะไร ทำที่ไหน ทำเมื่อไร ทำกับใครหรือโดยใคร ทำอย่างไร โดยแบ่งผู้เข้ารับการอบรมเป็น 3 กลุ่ม วิธีการได้มาซึ่งคำตอบให้ใช้สุนทรียสนทนา เล่าประสบการณ์ ให้ความเห็น ในกลุ่มมีคุณอำนวยและคุณลิขิต ทุกคนเป็นคุณกิจ จากถ้อยคำประสบการณ์และความเห็นให้สรุปเป็นรูปภาพรูปที่เราเข้าใจและสร้างสรรค์ นำเสนอให้กลุ่มอื่นเลือก กลุ่มเลือกภาพผู้อื่นเพื่ออธิบายจาการตีความของตน หลังจากอธิบายภาพกลุ่มอื่นเสร็จครบทุกกลุ่ม กลุ่มเจ้าของภาพจะเริ่มอธิบายความหมายของภาพตน การตีความไม่มีถูกผิดเป็นการรับรู้ของผู้ดู คำอธิบายเป็นของผู้สร้าง ทุกกลุ่มเข้าใจมุมมองของกันและกัน วิทยากรถามทุกกลุ่มว่า เราเชื่อว่า "นวัตกรรม" เกิดขึ้นได้เมื่อเราใช้เครื่องมือจัดการความรู้ ดังนั้นในแต่ละกลุ่มคิดว่า "นวัตกรรม" เกิดขึ้นที่ไหน อยู่ที่ใดในรูป แต่ละกลุ่มแลกเปลี่ยนและนำเสนอการปรากฏของ "นวัตกรรม" ในรูปตน วิทยากรพาเข้าสู่จุดหลอมรวมเป็นหนี่งเดียว ให้นำภาพของสามกลุ่มมารวมกัน ให้เห็นความเป็นหนึ่งเดียวของความคิดด้วยเครื่องมือสุนทรียสนทนา ล้อมกันเป็นวงกลมวงใหญ่เป็นวงเดียว ภาพทั้งสามอยู่ตรงกลาง แต่ละคนนำเสนอความคิดของตนเกี่ยวกับภาพที่สื่อถึงกระบวนการ KM การหลอมรวมและการเกิดของ "นวัตกรรม" ผู้อ่อนอาวุโสนำเสนอก่อนไล่ไปจนครบทุกคน มีคุณลิขิตสองคนเป็นผู้จดบันทึกความคิด วิทยากรขอให้คุณลิขิตได้สรุปความเห็นทั้งหมดใน 5 ประโยค คุณลิขิตทั้งสอง สรุปแล้วจากนั้นกลุ่มดำเนินการต่อภาพเสร็จแล้วนำเสนอสรุปร่วมกัน เพื่อความเข้าใจตรงกัน เราจบวันด้วยการตระหนักรู้ว่าจะทำไปทำไม ทำอะไร ทำที่ไหน ทำเมื่อไร ทำกับใครหรือโดยใคร และทำอย่างไร รู้ว่าจะทำสิ่งใดในส่วนของเราเพื่อไปให้ถึงภาพฝันของเรา จบวันที่สาม



วันที่ 29 มิถุนายน 2561 วันสุดท้ายของการอบรม
เราเริ่มวันด้วยสดชื่นตื่นรู้เพื่อเติมความรู้เกี่ยวกับ นวัตกรรม โดย วศ.บุญเสริม (ช.อบฟ-ว.) เพลิดเพลินกันการนำเสนอนวัตกรรม จักรยาน และความรู้เกี่ยวกับการเป็นองค์กรแห่งนวัตกรรมจบครึ่งวันแรกอย่างมีพลังแห่งนวัตกรรมหนุนเสริมขับเคลื่อนไป
แล้วเวลาจากกันก็มาถึง ตอนบ่ายเราเริ่มด้วยการถอดบทเรียนรู้ ทำความเข้าใจวงจรการไม่เรียนรู้เพื่อจะเรียนรู้และถอดบทเรียน เราเห็นในสิ่งที่เราทำ เราคิดจากสิ่งที่เราเห็น เราพูดในสิ่งที่เราคิด และเราทำตามที่เราพูด เรารู้ว่าเราไม่รู้อะไร และเริ่มค้นคว้าควักเพื่อเรียนรู้ บางสิ่งเปลี่ยนไปนั่นคือเราเรียนรู้บางสิ่ง
วิทยากรสอบถาม ใครมั่นใจว่าตนจะนำไปใช้และถ่ายทอดให้ผู้อื่นได้ มีผู้ตอบรับ 5 ราย ใครจะนำไป เปลี่ยนแปลง หรือสนับสนุน ในหน่วยงานตนมีผู้ตอบรับ 10 ราย ที่เหลือจะนำไปใช้ในงานและหน่วยงานตน เราจบการอบรมด้วยการนำหัวใจที่เขียนไว้มาตรวจสอบว่าได้ตามวัตถุประสงค์ที่แต่ละคนตั้งไว้หรือไม่ แล้วกล่าววลีสั้นๆเพื่อลาจากคนละ 1 วลี การอบรมจบอย่างง่ายๆ ด้วยประการฉะนี้

สิ่งที่บรรลุจินตนาการ
1. ผู้เข้าอบรมได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ในการใช้เครื่องมือ KM ในงานของตน
2. ผู้เข้าอบรมรู้จักเครื่องมือพื้นฐานในการสนทนาที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้ ทั้งหันหน้าเข้าหากัน สุนทรียสนทนา บนพื้นที่ปลอดภัย
3. ผู้เข้าอบรมรู้จักเครื่องมือพื้นฐานในการปฏิสัมพันธ์ คน 4 ทิศ คิด 6 แบบ
4. ผู้เข้าอบรมได้รับประสบการณ์การรู้จัก เข้าใจ นำไปใช้ และถ่ายทอด เครื่องมือ KM
5. ผู้เข้าอบรมได้ออกแบบการใช้เครื่องมือ KM จนถึงเข้าใจการเกิดนวัตกรรม
6. ผู้เข้าอบรมได้เข้าใจการถอดบทเรียนรู้
7. ผู้เข้าอบรมมีทัศนะคติที่ดีต่อเครื่องมือ KM จะนำไปถ่ายทอด 5 ราย

สิ่งที่ไม่บรรลุจินตนาการ
1. ออกแบบการสนทนาไว้ 7 ครั้ง นำการสนทนาได้เพียง 5 ครั้ง
2. ผู้เข้าอบรมอีก 15 รายคิดว่าไม่ถ่ายทอดเครื่องมือ KM แต่จะนำไปใช้
3. การสนทนาของผู้เข้าอบรมยังไม่เข้าถึงภาวะสุนทรียสนทนา แม้ว่าจะมีวิทยากรช่วยเหลือ

สิ่งที่ทำได้ดี
1. การปรับเอาประสบการณ์ในหน้างาน การถ่ายทอด การประยุกต์ให้เนียนในเนื้องาน โดยให้วิทยากรที่มีประสบการณ์ตรงเป็นผู้ถ่ายทอดในเวลาที่เหมาะสม
2. การควบคุมเวลาในการอบรม
3. การใช้กิจกรรมมากระตุ้นให้ตื่นตัวในแต่ละช่วงการอบรม



สิ่งที่ต้องปรับปรุง
1. การออกแบบการสนทนา ต้องมีการปรับให้เหมาะสมกับการเรียนรู้ เริ่มจากการสนทนาระหว่างบุคคล สองคน แล้วเพิ่มเป็นสี่คน ต่อด้วยสนทนากลุ่มประมาณ 6-8 คน จบที่การสนทนากลุ่มใหญ่(ทั้งหมด) หัวข้อการสนทนาต้องชัดเจนและชวนให้สนทนาจากประสบการณ์ โดยพิจารณาจากผู้เข้าอบรม วิธีการสนทนาต้องนำเสนอให้เป็นที่เข้าใจก่อนการสนทนา และก่อนการสนทนาต้องให้ผู้เข้าอบรมหยุดกิจกรรมความคิด ให้สงบโดยการหยุดผู้เข้าอบรมด้วยการให้เงียบและอยู่กับตนเอง พิจารณาหัวข้อการสนทนาประมาณ 1-2 นาที จำนวนครั้งที่เหมาะสมประมาณ 7 ครั้ง
2. การสร้างให้ผู้เข้าอบรมเป็นผูุ้่ถ่ายทอดต้องให้ตัวอย่างของ การรู้จัก เข้าใจ นำไปใช้ แล้วถ่ายทอด และเป็นไปตามแรงปรารถนาของผู้เข้าอบรม วิทยากรต้องกระตุ้นความเชื่อมั่นและแรงปรารถนาด้วยตัวอย่างที่เห็นเป็นรูปธรรม ความสำเร็จจากที่ต่างๆ รวมทั้งแนะนำเครื่องมือการเรียนรู้ด้วยตนเอง แหล่งความรู้ เอกสารและบุคคลอ้างอิงเพื่อให้สามารถไปค้น คว้า ควักนำมาถ่ายทอดได้
3. การนำกิจกรรการสนทนาเพื่อให้เข้าสู่ภาวะสุนทรียสนทนาต้องมีการเน้นย้ำหลักการการหันหน้าเข้าหากัน สุนทรียสนทนา และสร้างความตระหนักรู้ตัวตนของผู้สนทนา โดยการทบทวนก่อนการสนทนาทุกครั้งและกระตุ้นให้สมาชิกผู้ร่วมสนทนาได้ช่วยเหลือซึ่งกันและ
กัน




บทเรียนรู้
การเรียนรู้จะไม่เกิดขึ้นเมื่อเราไม่รู้ว่าเราไม่รู้อะไร แต่จะเกิดขึ้นเมื่อเรารู้ว่าเราไม่รู้อะไร และเราสนใจใคร่เรียนรู้

ความเป็นมืออาชีพเมื่อเผชิญกับสิ่งแทรกแซงสติและปัญญา ยังไม่พอต้องมีความพยายามและอดทน สำคัญที่สุดคือใจต้องเย็นพอ

บันทึกโดย ตุ๊ดตู่ ร่าเริง


วันอังคารที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2561

Change Agent & Facilitator for Innovation

Change Agent & Facilitator for Innovation 
วันที่  26 – 29 มิถุนายน 2561  ณ ศูนย์ฝึกอบรมบางปะกง

จุดมุ่งหมายของหลักสูตร ทัศนะคติ ความเชื่อ และคำมั่นสัญญา คือเป้าประสงค์
ตามนั้น เราจะสร้างทัศนะคติที่ดี ความเชื่อที่นำไปสู่คำมั่นสัญญา ต่อการจัดการความรู้ที่ต้องการ ใช้ 4 วันให้คุ้มค่า
 
4 วันที่จะ ลึกลงไปในตัวตน ขุดค้นจากอดีต รับรู้ปัจจุบัน เรียนรู้จากการงานอันเบิกบาน ที่สอดประสานแทรกเครื่องมือจัดการความรู้ เพื่อทะยานสู่เป้าหมาย ขยายกระจายอย่างมืออาชีพ บนความตระหนักรู้ว่าการแข่งขันนั้นคือชีวิตการทำงานจริง

"ความตื่นรู้ ประสบการณ์ ปัจเจกชน สมุหชน หมุนวนและเคลื่อนไป ประโยชน์ยังแก่ผู้มีสติ เรียนรู้ปรับใช้ แก่ตน องค์กร และมนุษชาติ"  
ทิพย์ พัชน์ศรี 2015

วันแรกของการพบเจอ
ผู้คนมาถึง รวมกันในห้อง อ.สำเณาว์ อ.ศากุน ชวนคุยเพื่อคุ้นเคย นำพาหัวใจทุกคนมา บันทึกความต้องการของหัวใจในด้านต่างๆ เปิดเผยแลกเปลี่ยน เชื่อมประสาน สานสนทนาก่อเกิด หัวใจทุกดวงรวมกัน ณ ที่นี้

พักทานกาแฟ
 
ผู้เข้าร่วมเข้าสู่การแลกเปลี่ยนเรียนรู้
เราต่างมีการกระทำที่๋ผ่านมา (อดีต) เมื่อเข้าสู่ความว่าง ในพื้นที่ปลอดภัย (ปลอดภัยจากการ ข่มทับ ก่นด่า บดขยี้ กีดกัน หยุดยั้ง และปัดภาระ) ทบทวนระลึกถึง วันที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ...
เราใช้เราถ่ายทอดเครื่องมือการจัดการความรู้อย่างไร ทำอะไรมาบ้าง เครื่องมือนี้เข้ากับงานได้ไหม ถ่ายทอดให้ใครบ้าง มีความเห็นอย่างไรต่อเครื่องมือการจัดการความรู้ ปัญหา อุปสรรคมีอย่างไร ติดตามดูผลบ้างไหม ผลเป็นอย่างไร มีอะไรเปลี่ยนบ้างอย่างไร
 
เมื่อถอยไปในวันวาน สงบจิต พิจารณา ทบทวนย้อนความอยู่กับตัวเอง (3-5 นาที) เรียบเรียงเป็นภาพหรืออักษร เพื่อนำมาแลกเปลี่ยนนำเสนอ คนละ 3-5 นาที 
ในระหว่างนั้นวิทยากรเรียกคืนความจำ "หันหน้าเข้าหากัน" ผู้เข้าร่วมทบทวนการสนทนาเพื่อก่อให้เกิดการเรียนรู้ 6 ประการ
เรายอมรับความเสมอภาคระหว่างกัน 
เราพยายามที่จะสนใจใคร่รู้ในเรื่องราวของผู้อื่น 
เราตระหนักว่าเราต่างต้องการความช่วยเหลือจากกันและกันเพื่อเป็นผู้ฟังที่ดีกว่าเดิม 
เราพูดคุยกันให้ช้าลงเพื่อจะมีเวลาในการขบคิดและไตร่ตรอง 
เราระลึกว่าการพูดคุยเป็นวิธีการใช้ความคิดร่วมกันอย่างเป็นธรรมชาติของมนุษย์ 
เราต้องตระหนักว่าอาจจะเกิดความสับสนวุ่นวายในการพูดคุยกันได้
 

เริ่มจากวิทยากรทั้งหลาย แล้วคลี่คลายส่งต่อไปสู่ผู้เข้าร่วม การสนทนาดำเนินไป
(ช่วงนี้ถ้ามีกำลังใจจาก รวธ. คงจะสมบูรณ์ กำลังใจในรูป VDO ประมาณ 5 นาที)
 
พักรับประทานอาหารกลางวัน 
เสริม "ผ่อนพักตระหนักรู้" พักอย่างมีสติ ตระหนักรู้ในตน เป็นการ "ลับเลื่อย" 4 มิติ กาย ใจ จิต และวิญญาน
สนุกสนานยามบ่ายเพื่อความสดชื่น แล้วเข้าสู่การเชื่อมประสานด้วยการสนทนา
 
การสนทนานำความเหมือนความต่างระหว่างกันและกัน เปิดเผยและหลอมรวม เราเข้าใจตนเองมากขึ้น เมื่อทบทวน นำเสนอ และเชื่อมต่อประสบการณ์จากหลายๆ แห่งเข้าด้วยกัน สนทนานาที่ก่อให้การเรียนรู้ร่วมกัน เกิดปัญญาร่วม ต่างคนมีบทสรุปในใจ
 
วิทยากรสะท้อนสรุปประสบการณ์ของตน ทุกนมีอิสระในการหลอมรวมประสบการณ์ จากคนเดียว สู่ทั้งหมด (ปัจเจกสุ่สมุหะ)
ระหว่างทางแห่งการแลกเปลี่ยนนี้เราเปิดเผยตัวตนมากขึ้น ด้วยกิจกรรมร่วมที่ไม่ได้แบ่งแยกและตัดสิน สนุกสนาน เปิดใจเรียนรู้ร่วมกัน
เราพักทานกาแฟแล้วสนุกสนานต่อ
 
วิทยากรชักชวนให้พิจารณาวิธีการที่เราใช้ในปฏิสัมพันธ์ มันสร้างปัญญาร่วมได้ หากเราต้องการนำไปถ่ายทอด เราต้องใช้จากพื้นฐาน ฐานจาก"สุนทรียสนทนา"
สิ่งที่น่าสนใจคือมันเกิดปัญญาร่วมได้อย่างไร สุนทรียสนทนาเสริมการสร้างปัญญาได้อย่างไร หลักการของสุนทรียสนทนาเป็นเช่นไร
เป็นโอกาสที่จะทบทวน การฟังอย่างตั้งใจ(Deep Listening) U Theory ท่าทีและการสร้างสรรค์จากการฟัง สิ่งที่ควรทำและควรระวัง
 
เราทดลองการสุนทรียสนทนา แบบกลุ่ม กลุ่มละ 6-8 คน หัวข้อสนทนาคือ "ประสบการณ์การสร้างปัญญาจากการฟัง"
การสนทนากลุ่มนี้เริ่มจากการสงบนิ่ง ทบทวนประสบการณ์็ของแต่ละบุคคล เรียบเรียง เล่าและฟัง มีผู้จดบันทึก กลุ่มทบทวน สรุปรวมเปํนของกลุ่ม สรุปเป็นภาพ(ไร้อักษร ไร้ถ้อยคำอธิบาย) กลุ่มนำเสนออย่างไม่มีคำอธิบาย พิจารณาภาพของกลุ่มอื่น ชอบ ชื่นชมแล้วอธิบายภาพนั้นจากมุมของตน ให้ประสบการผนวกกับจินตนาการ ได้ใหลผ่านการยึดโยงผ่อนคลาย เราเข้าใจความจริงได้มากขึ้น เราเห็นประสบการณ์ ความเห็นและจินตนาการ
ของแต่ละคน ใหลผ่านไปในห้วงคิดคำนึง ผ่านการยึดโยงเก่า สู่ประสบการณ์ใหม่ไร้การยึดโยง
 
ด้วยความผ่อนคลายวันทั้งวันของเราผ่านอย่างมีความสอดประสาน เต็มไปด้วยความหมาย เสริมทัศนะที่นำให้ชอบและใช้การสนทนาแบบนี้ "สุนทรียสนทนา" เพื่อถ่ายทอดต่อไปด้วยจินตนาการอันเจิดจ้าและก้าวไปอย่างมั่นคงเต็มเปี่ยมด้วยพลัง เราเข้าใจและนำไปถ่ายทอดต่อได้
 
จบวันด้วยความสุข สนุก มีสาระ  เติบโตไปอีกวันอย่างมีความหมาย
เก็บสิ่งระหว่างวันเพื่อทบทวนระหว่างคืน สดชื่นกับการเรียนรู้ เต็มอิ่มกับทัศนะที่ดีพร้อมก้าวต่อไป

วันที่สอง
เราเริ่มวันที่สองด้วยกิจกรรมสดชื่นตื่นรู้ คุ้นเคยกันมากขึ้น รู้จัก เข้าใจและประสานกันอย่างกลมกลืน อารมณ์พร้อมสำหรับการเรียนรู้
 
การจัดการความรู้มีในงานประจำ เราทำและเรียนรู้แล้วนำความรู้ไปใช้ต่อยอด ปรับให้เข้ากับเทคโนโลยี ที่ปรับเปลี่ยนไปตลอดเวลา ทำให้งานง่ายขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น
อ.ศากุนเล่าประสบการณ์ งานและการจัดการความรู้ที่ทำให้ศักยภาพของคนเพิ่ม เสริมให้หน่วยงานมีประสิทธภาพ มีตัวอย่างมากมาย จากการจัดการความรู้ในงาน ... จุดประกายให้ผู้เข้าร่วมได้ย้อนทบทวนสิ่งที่ทำ เห็น และคิด ไตร่ตรองในบริบทของงาน ที่แต่ละคนได้ทำผ่านมาและสอดแทรกการจัดการความรู้ไปในงานอย่างไร ในกลุ่มคนที่สังกัดสายงานผู้ช่วยผู้ว่าการเดียวกันร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เล่าสิ่งที่ตนทำ ภายใต้หัวข้อ "การจัดการความรู้ในงานประจำ" สรุปเสนอในแต่ละสายงาน นำเสนอให้กลุ่มใหญ่ได้ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันอย่างสนใจใคร่รู้ เก็บเกี่ยวประสบการณ์ทางอ้อม ทบทวนประสบการณ์ทางตรง
 
เราพักรับประทานอาหารแล้ว ผ่อนพักตระหนักรู้ เพื่อความสดชื่นในตอนบ่าย
ตอนบ่ายเราขยายการเรียนรู้ จากการทำงานในสายงาน การประสานทำงานส่งต่อระหว่างสายงานผู้ช่วย เรามีงานที่หลอมรวมกันเป็น รวธ.  เรามีงานที่เกี่ยวข้องกัน ในงานร่วมกันนั้น เมื่อเราทำเราสอดแทรก และจัดการความรู้ในงาน เราจัดการความรู้สึกสานสัมพันธ์กันและกัน มุ่งไปในทางเดียวกัน แต่ละคนในแต่ละหน่วยงานตระหนักถึงการจัดการความรู้สึกตัวของตนเอง เราจึงกลมกลืนและสร้างพลังแห่งประสิทธิภาพไปด้วยกัน
 
เราทบทวนแล้วเปิดเผย(นำเสนอ)ให้กันและกันได้พบความรู้ สัมผัสความรู้สึก ด้วยความรู้สึกตัวที่สอดประสานสัมพันธ์กัน
แลกเปลี่ยนกันใน "การจัดการความรู้ระหว่างสายงาน ผู้ช่วยผู้ว่าการฯ ใน รวธ."
วิทยากรทั้งหลายร่วมเล่าประสบการณ์ "การจัดการความรู้ในการทำงาน" เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันเป็นการยืนยัน และเสริมแรงจากประสบการณ์ตรง กระตุ้นให้ตระหนักรู้ เราแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันอย่างสนุกสนาน
 
เราจบวันที่สองอย่างมีพลัง เรียนรู้เพื่อจะนำไปเรียนรู้อย่างต่อเนื่องไม่มีวันจบ

วันที่สาม
สองวันที่ผ่านมาเราตระหนักรู้ในตน ขุดค้น คืนคุณค่า จากอดีต สัมผัสการงานอันเบิกบานที่มีความรู้ การจัดการความรู้ การจัดการความรู้สึก และการจัดการความรู้สึกตัว เราพร้อมที่จะทะยานสู่เป้าหมาย
 
เป้าหมายของเราคือ ผู้คนที่ทำงานด้วยความรู้ เป็นธรรมดาที่คนจะมีหลากหลาย เปิดใจ ปิดใจ อ่อนน้อม หยิ่งทะนง  ฯลฯ แต่ละคนล้วนเป็นหนึ่งเดียวที่ไม่มีใครเหมือน และทุกคนจะนำพาองค์กรนี้สู่เป้าหมาย
เมื่อตระหนักรู้ดังนั้น เราเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง เป็นผู้สนับสนุนให้การจัดการความรู้งอกงามในหน่วยงาน เราจะสานสัมพันธ์กับเขาเหล่านั้น ทรัพยากรอันทรงคุณค่า สัมพันธ์อย่างไรให้เขาได้รับรู้ ได้ใช้เครื่องมืออันทรงพลัง ด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่แบกเครื่องมือนั้นไว้ และถ่วงการทำงานของเขา เราจะถ่ายทอดอย่างไร เพื่อจะจัดการความรู้ ความรู้สึกและความรู้สึกตัวไปพร้อมกับการทำงาน
 
อ.ศากุน เล่าประสบการณ์ ให้ความเห็น และแลกเปลี่ยนกับผู้เข้าอบรม เมื่อเจอกระทิง หนู อินทรี หมี จะทำอย่างไร อะไรที่ต้องฝึกฝน สะสมให้กล้าแกร่ง (ช่วงนี้จินตนาการแทน อ.ศากุน)
 
ช่วงครึ่งวันหลัง เราแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน โดยวิทยากรร่วมให้ประสบการณ์ การนำผู้คน มารวมกัน การออกแบบเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การจัดเวทีถ่ายทอด การบันทึกเก็บความรู้ แะอื่นๆ จากประสบการณ์ตรง ของวิทยากร
 
เราสนทนาเพื่อสร้างปัญญาร่วม เป็นต้นทุนในการออกแบบประยุกต์ใช้การจัดการความรู้ในหน่วยงาน
เพื่อความชัดเจนเราสนทนากลุ่ม 6 - 8 คน เพื่อ "ออกแบบและประยุกต์ใช้การจัดการความรู้" ทำไปทำไม ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร โดยใคร อย่างไร
 
เราตกผลึกร่วมกัน สร้างภาพ ภาพโครงการที่เป็นภาพไร้ตัวอักษร สื่อสิ่งที่เราปรารถนา ภาพหนึ่งภาพแทนถ้อยคำได้หมื่นคำ ชื่นชมภาพใด กลุ่มของเราจะอธิบายภาพของเขาเหล่านั้นด้วยจินตนาการของเรา
 
เราจบวันอย่างมีความสุข เห็นการเชื่อมโยงการประยุกต์ใช้ หลายๆ ภาพเราเชื่อมั่นในการทะยานสู่เป้าหมาย เรามีทางเดินสู่เป้าหมายอันสามารถเผชิญสถานการณ์ต่างๆ ได้ อย่างมั่นใจ เราเรียนรู้ระหว่างวัน ทบทวนระหว่างคืน เพื่อเติบโตต่อไป

วันที่สี่
เราพร้อม สดชื่นตื่นรู้ เพื่อรับแนวทางและกลยุทธ์ในการสร้างนวัตกรรม เราพร้อมเก็บเกี่ยวเพื่อเข้าสู่การแข่งขันบนลู่วิ่งแห่งนวัตกรรม เรารู้เขารู้เรา(กลยุทธ์)บนการแข่งขันนั้น เต็มอิ่มกับกลยุทธ์ที่รับทราบ และพร้อมในสนามแข่ง
เราพักรับประทานอาหาร แล้วมาสรุปการเรียนรู้ "จบเพื่อเริ่ม" จบจากสนามซ้อมเข้าสู่สนามจริงที่ไม่มีวันจบสิ้นตราบที่ยังอยู่ในองค์กร ภารกิจยังคงมีอยู่
เราสัญญาว่า จะทำเต็มกำลังความสามารถ ทุ่มเทเวลาและทรัพยากร เพื่อก้าวไปบนเส้นทางนี้ เราจะใช้ความรู้ ประสานความรู้สึก และตระหนักในความรู้สึกตัวอย่างมีพลัง

จบจินตนาการเพียงเท่านี้
มันจะเป็นจริงเมื่อได้ทำ ทำตามที่แสดงไว้ แสดงจากความคิด ความคิดที่ได้จากการเห็น เห็นหัวข้อที่ทำมา
และมันจะเป็นจริงได้ยิ่งกว่า หากทุกท่านได้ร่วมกันสร้างปัญญาร่วม ให้ความเห็น เสนอแนะ แลกเปลี่ยนเรียนรู้
ด้วยความรู้ เท่าที่มี ด้วยความรู้สึก ยินดีที่จะประสานสัมพันธ์ ด้วยความรู้สึกตัว ที่จะทุ่มเทความสามารถ
เท่านี้คือสิ่งที่ทำแล้ว ทำแล้วย่อมดีเสมอ

ด้วยจิตนอบน้อม
ตุ๊ดตู่ ร่าเริง

วันพฤหัสบดีที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2561

ความฝัน

เกษียณอายุมาเกือบ ๖ ปีแล้ว
เมื่อคืนวานนี้ฝันประหลาดเกี่ยวกับองค์กรที่เคยทำงานอยู่ ฝันว่าใครได้เป็นผู้บริหารสูงสุด ซึ่งกำลังสรรหากันอยู่ตอนนี้
ในฝัน สิงห์ ที่สมัครได้รับเลือก
ในฝันสนทนากับคนที่มาบอกว่าสมควรแล้ว เขาเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ และในช่วงเวลายากลำบากนี้เขาจะนำพาผ่านไปได้
ความแข็งขืน ถูกขัดเกลาเป็นยืนหยัด ความสู้ไม่ถอยมุทะลุเปลี่ยนเป็นจังหวะลีลาอันสอดประสานอย่างไม่หยุดยั้ง
ความฉลาดบ่มเพาะให้ฉลาดรอบ รู้เหตุ ผล ตน ประมาณ กาล ประชุมชน วิชชาอันจบแล้ว

ในฝันได้ยินดีกับ สิงห์ และผู้ที่มาบอกที่องค์กรมีผู้นำที่เหมาะสม
ฝันก็คือฝัน
ุถ้ามันเป็นจริงได้ก็ดี และยินดีมาก
ด้วยจิตนอบน้อม